
ลูเซียง ฟาฟร์ ช่วยปลุก "สิงห์หนุ่ม" ให้คืนชีพ แต่ยังต้องลุ้นกันอีกด่าน
บอลเมืองเบียร์ยังลุ้นไม่จบ
การห้ำหั่นของฟุตบอลบุนเดสลีก้าได้บทสรุปไปก่อนใครเพื่อนในบรรดาลีกชั้นนำของยุโรป เหตุเพราะจำนวนของสโมสรบนดิวิชั่นสูงสุดของวงการลูกหนังเมืองเบียร์นั้นเป็นรองชาติที่ยอมเปิดรับความเป็นสากลมากกว่าอย่าง พรีเมียร์ลีก อังกฤษ, ลา ลีกา สเปนและ กัลโช่ เซเรีย อา อิตาลี ไม่เว้นแม้แต่ ลีก เอิง ฝรั่งเศส ซึ่งวางแปลนทีมในสารระบบไว้ 20 ทีม
ไม่ใช่ว่า เดเอฟเบ (สหพันธ์ฟุตบอลเยอรมัน) จะไม่เคยลองจัดเต็มด้วยการเพิ่มโควต้าสโมสร บุนเดสลีก้า ขึ้นมาเป็น 20 ทีม เพราะย้อนไปเมื่อฤดูกาล 1991/92 หลังจากม่านแบ่งเชื้อชาติระหว่าง ตะวันออก และ ตะวันตก อย่าง "กำแพงเบอร์ลิน" ถูกทำลายลง
ทาง สหพันธ์ฯ ก็ตัดสินใจรวมลีกลูกหนังจากสองทิศเข้าไว้ด้วยกัน เพื่อกระตุ้นเรื่องความสามัคคีของคนในชาติ ซึ่งเป็นเหตุผลที่แนวคิดเพิ่มสมาชิกในเวทีบุนเดสฯ ขึ้นเป็น 20 ทีม ถูกหยิบขึ้นมาใช้งานเป็นครั้งแรก นับตั้งแต่ที่พึ่งพาระบบลีกคลาสสิคแบบเดิมจำนวน 18 สโมสร มานานเกือบครึ่งศตวรรษ (1965/66 - 1990/91)
อย่างไรก็ตามนโยบายการเพิ่มปริมาณไม่ได้ควบคู่มาด้วยคุณภาพ สุดท้ายการขยายขนาดลีกเป็น 20 ทีมของ เดเอฟเบ จึงก่อตั้งได้เพียงฉาบฉวยระยะสั้น ๆ เพียงฤดูกาลเดียว โดยปีดังกล่าว สหพันธ์ฯ เพิ่มโควต้าพิเศษให้มีทีมตกชั้นถึง 4 สโมสร ซึ่งสุดท้ายหวยออกที่ สตุ๊ตการ์ต คิกเกอร์ส, ฮันซ่า รอสต๊อค, ดุ๊ยส์บวร์กและ ฟอร์ทูน่า ดุสเซลดอร์ฟ
กองเชียร์ "เสือเหลือง" ฉลองความสำเร็จที่รอมาเกือบทศวรรษ
เกริ่นจั่วหัวมาตั้งนานถึงสาเหตุที่ฟุตบอลบุนเดสฯ มีจำนวนสมาชิกน้อยและเตะจบเร็วกว่าชาวบ้านเขา วกเข้าบทสรุปในฤดูกาลนี้ ดังที่ทราบกันไปแล้วว่า แชมป์ตกเป็นของ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ที่นำแบบม้วนเดียวจบตั้งแต่เข้าป้ายเป็นแชมป์ครึ่งแรกในช่วงก่อนเบรกหนีหนาว ลากยาวมาจนสามารถทวงความยิ่งใหญ่หนแรกในรอบ 9 ปีสำเร็จ
บุคคลากรที่บอร์ดบริหาร "เสือเหลือง" ต้องตบรางวัลให้อย่างงามเป็นใครไปมิได้นอกจาก เจอร์เก้น คล็อปป์ เทรนเนอร์มาดดีวัย 43 ปี ที่เก็บเกี่ยวชั่วโมงบินจากการคุม ไมนซ์ มาถึง 7 ปี แต่สุดท้ายกลับมาออกผลความสำเร็จในถิ่น ซิกนัลด์ อิดูน่า พาร์ค แทน
หากนับย้อนไปช่วงต้นฤดูกาล เชื่อว่าคงไม่มีใครกล้าฟันธงว่าขุมกำลังชุดนี้จะเขย่าบัลลังก์แชมป์จากขาใหญ่อย่าง บาเยิร์น, เลเวอร์คูเซ่น ได้ เนื่องจากผู้เล่นแต่ละหน่อนั้นส่วนใหญ่เป็นพวกวัยรุ่น โดยถ้าเว้นวรรคชื่อของ "นูริ ซาฮิน" จอมทัพระดับเพชรเม็ดงามชาวเติร์กไป จะมีสักกี่คนที่รู้จักชื่อเสียงเรียงนามของ ซูโบติช, คากาวะ, ก็อตเซ่และ โกร้บครอยซ์ ซึ่งดังเป็นพลุแตกในเวลาต่อมา
ขยับมาที่ตำแหน่งรองแชมป์ตกเป็นของ เลเวอร์คูเซ่น ซึ่งจะตีตั๋วผ่านเข้าไปเล่นฟุตบอล ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ตามติด ดอร์ทมุนด์ ไปแบบต้องลุ้นเล็ก ๆ ในช่วง 2 เกมสุดท้าย แต่ก็ถือเป็นผลงานทิ้งทวนของ จุ๊ปป์ ไฮย์เกส ก่อนสละเก้าอี้ที่ ไบ อารีน่า เพื่อมุ่งหน้ากลับไปย้อนวันวานยังหวานอยู่กับ บาเยิร์น เป็นสมัยที่ 3 ในซีซั่นหน้าด้วยภารกิจทวงความยิ่งใหญ่ทั้งเส้นทางบุนเดสฯและระดับนานาชาติ ซึ่งทีมอันดับ 3 อย่าง "เสือใต้" ต้องออกตัวตั้งแต่รอบคัดเลือกของ แชมเปี้ยนส์ ลีก
ขณะที่สองทีมม้านอกสายตาทั้ง ฮันโนเวอร์ 96 และ ไมนซ์ 05 ทำผลงานเกินเป้าจากการตีตั๋วผ่านเข้าไปร่วมศึก ยูฟ่า ยูโรป้า ลีก ด้วยโควต้าอันดับ 4 และ 5 ตามลำดับ ส่วนฝั่งทีมตกชั้นต้องห้ำหั่นกันแบบมาราธอนจนหยดสุดท้ายของฤดูกาลและทีมที่ต้องหล่นไปฝึกปรือฝีเท้าระดับ ลีกา 2 ตามขาบ๊วยอย่าง ซังต์ เพาลี ก็คือ แฟร้งค์เฟิร์ต
ทางด้าน มึนเช่นกลัดบัค ทำบุญมาดี เพราะสามารถต่อชะตาได้ราวปาฏิหาริย์ จากการเก็บเพิ่ม 10 แต้มในช่วง 4 นัดสุดท้าย ทว่าทัพ "สิงห์หนุ่ม" ต้องไปลุ้นอีกเฮือกกับ โบคุ่ม ทีมอันดับ 3 จาก ลีกา 2 ที่วางเป้ากลับสู่ลีกสูงสุดหลังจากตกชั้นไปได้ปีเดียว โดยคิวเตะสองเลกถูกวางไว้ระหว่างวันที่ 20 กับ 26 พ.ค.นี้ ซึ่งนัดแรกจะหวดที่ โบรุสเซีย พาร์ค บ้านของ กลัดบัค ก่อน
ฟอร์มในลีกอาจดูบ้าน ๆ แต่ผลงานบอลถ้วยจัดจ้านเหลือเกินสำหรับ ชาลเก้
นอกจากนั้นยังมีรายการ เดเอฟเบ โพคาล ให้ร่วมลุ้น แต่คู่ชิงดำในฤดูกาลนี้ค่อนข้างจืด เพราะมาจากต่างดิวิชั่น ซึ่ง "สิงห์บอลถ้วย" อย่าง ชาลเก้ ในยุคของ ราล์ฟ รังนิก จะพบกับ ดุ๊ยส์บวร์ก ที่กวาดชัยในรายการนี้มา 5 เกมรวดและเคยสวมบทแจ็คล้มทั้ง โคโลญจน์และ ไกเซอร์สเลาเทิร์น มาแล้ว
สุดท้ายก็ต้องเชียร์กันล่ะว่าจะมีงานหักปากกาเซียนเกิดขึ้นอีกมั้ย ... คิดกันเล่น ๆ ถ้า ดุ๊ยส์บวร์ก เกิดผีเข้าจนเป็นฝ่ายโค่นโคตรบอลจากเกลเซ่นเคียร์เช่นลงสำเร็จ ฤดูกาลหน้าคอบอลอาจมีบุญได้เห็นศึกดวล "ม้าลาย" ข้ามชาติก็เป็นได้ เพราะทีมแชมป์บอลถ้วยจะครองสิทธิ์ลุยบอลยุโรปแบบไม่กีดกันดิวิชั่นซะด้วย (หมายเหตุ : ยูเวนตุส ก็ยังต้องลุ้นเหนื่อยกับตั๋ว ยูโรป้า ลีก เช่นกัน)