หลังจากพักเบรคกว่า 2 สัปดาห์ ปล่อยให้ทีมชาติเข้ามามีบทบาทในเกมลูกหนังบ้าง สุดสัปดาห์นี้ศึกพรีเมียร์ลีก จะกลับมาระเบิดแข้งให้คอบอลบ้านเราซี๊ดซ๊าดอีกครั้ง และเริ่มตั้งแต่คู่หัวค่ำทันที (18.45) เพราะจะเป็นศึกแดงเดือด "หงส์แดง" ลิเวอร์พูล เปิดรังแอนฟิลด์ ต้อนรับการมาเยือนของ แมนฯ ยูไนเต็ด ต้องบอกว่าเจอกันถูกที่ถูกเวลาโดยเฉพาะสาวก "เดอะ ค็อป" เนื่องจาก "เร้ด อาร์มี่" อยู่ในช่วงขาลง ฟอร์มก่อนแยกย้ายไปรับใช้ชาติแผ่วลงไปเยอะทีเดียว
ศึกแดงเดือดที่ทุกคนรอคอย
ซ้ำร้ายปัญหายังตามไปรังควานถึงแคมป์ทีมชาติ ภายหลังที่ เวย์น รูนี่ย์ ไปเตะติดดาบใส่ผู้เล่นมอนเตเนโกร โดนตะเพิดตามระเบียบไม่พอ เจอมรสุมสื่อตามถล่มไล่หลังอย่างหนัก ไม่รู้ว่าสภาพจิตใจก่อนดวลเกือกนัดสำคัญจะเป็นอย่างไร ซ้ำร้ายระยะหลังเด็กผีกลับออกมาจากแอนฟิลด์ในสภาพผู้แพ้บ่อยซะด้วยสิ (แพ้ 3 ครั้งติด) ขณะที่ "หงส์แดง" ไม่ค่อยมีความเคลื่อนไหวภายในมากนัก "คิง หลุยส์" ซัวเรซ จะลงนำทัพเหมือนเดิม ส่วน กัปตันเจิด มีลุ้นออกสตาร์ทตั้งแต่นาทีแรกนับในรอบ 6 เดือนเช่นกัน ถ้าเจ้าบ้านเก็บ 3 แต้มได้ มีสิทธิทะยานขึ้นที่ 3 แต่ถ้าเป็นอีกฝั่ง ยูไนเต็ด ก็จะครองจ่าฝูงต่อไปอีกสัปดาห์
เจอร์ราร์ด มีลุ้นบู๊ตั้งแต่นาทีแรก
ยังวนเวียนอยู่ที่ทีมจากแมนเชสเตอร์ แต่เปลี่ยนมาเป็นเศรฐี "เรือใบ" แมนฯ ซิตี้ โปรเจกต์ เดินหน้าล่าแชมป์ยังทำงานต่อเนื่อง หลังเกาะอยู่รองจ่าฝูงมีแต้มเท่าอริมร่วมเมือง เกมนี้มองผิวเผินไม่น่าพลาด 3 แต้ม เพราะได้เปรียบทุกประตูเหนือแอสตัน วิลล่า ไม่ว่าจะเป็นสถิติย้อนหลัง (ชนะ 5 นัดติดในแมนเชสเตอร์) ฟอร์มการเล่น, ความสามารถเฉพาะตัว อีกทั้งได้เฝ้าบ้าน ทว่าโฟกัสอยู่ที่ คาร์ลอส เตเบซ ซึ่งถูกสโมสรปรับอานฐานประพฤติตัวนอกลู่ อนาคตน่าหดหู่เหลือเกิน และแน่นอนว่าเจ้าตัวจะไม่มีชื่อในวันนี้ ส่วน "สิงห์ผงาด" ผู้มาเยือน พกดีกรี "ไร้พ่าย" มาย่ำอัลอิติฮัด และไม่แปลกที่สถิติดังกล่าวจะแตกละเอียดหลังจบเกม
ถัดมาอีกคู่ เป็นศึกสัตว์ปีระดับล่าง ระหว่าง 2 น้องใหม่ "นกขมิ้น" นอริช จะเปิดแคร์โรลล์ โร้ด รับมือ "หงส์ขาว" สวอนซี ทั้งสองทีมแทบแยกกันไม่ออก นอกจากจะเป็นหน้าใหม่ในลีก ยังเป็นสัตว์ปีกทั้งคู่ แถมคะแนนยังเท่ากันที่ 8 แต้มอีกด้วย อะไรจะบังเอิญขนาดนั้น นอกจากนี้ทั้งคู่ยังอยู่ในฟอร์มที่ดี เกาะอยู่อันดับ 9 และ 10 ตามลำดับ ฝั่งควีนส์ปาร์คฯ เจอกับ แบล็คเบิร์น มองผ่านๆคู่นี้แทบไร้ซึ่งเสน่ห์ในการติดตามชม ทว่าโฟกัสหาอยู่ที่ตัวเกมไม่ หากเป็นชะตาของ สตีฟ คีน กุนซือ "กุหลาบไฟ" เพราะถ้ากลับบ้านแบบคว้าน้ำเหลวอีกครั้ง มีหวังได้กลับไปนั่งเฝ้าบ้านเลี้ยงหลานแน่ เนื่องจากเวลานี้ทั้งสื่อทั้งแฟนบอลกดดันหนักเหลือเกิน คู่นี้จึงได้รับการจับตามากที่สุดคู่หนึ่งไปโดยปริยาย
สตีฟ คีน นับถอยหลังเวลาที่เหลือในอีวู๊ด ปาร์ค
ด้าน "ช่างปั้นหม้อ" สโต๊ค ซิตี้ จะได้ลงสนามในบริทานเนีย อีกครั้ง ซึ่งสถิติสวยหรูเหลือเกิน เปิดซีซั่นมายังไร้พ่าย (ทุกรายการ) รวมทั้งเกมเจ๊า แมนฯ ยูไนเต็ด 1-1 ด้วย ดังนั้นรับมือกับทีมระดับ ฟูแล่ม ที่มาตราฐานใกล้กัน แถม "เจ้าสัว" มักจะเก่งแต่ในรัง โอกาสของ โทนี่ พูลิส ในการพาลูกทีมเก็บชัยในถิ่นต่อเนื่อง มีสูงทีเดียว ถ้าทำได้ หม้อรุ่นยักษ์ มีลุ้นกระโดดขึ้นไปอยู่ที่ 6 ทันที แต่ถ้าเป็นตรงข้าม ทีมจากลอนดอน ก็จะขยับแซงขึ้นไปที่ 8 ได้เหมือนกัน
เป็นเกมที่น่าจับตาไม่น้อย เพราะผีเน่ากับโรงผุ จะห้ำห่ำกันเพื่อหนีโซนแดง โดยเฉพาะฝั่งทีมเยือน โบลตัน หลังจากแรงเกมเปิดตัว แต่นั้นมาวิญญาณนักสู้หายไปคนละทิศละทาง ล่าสุดพ่ายมา 6 เกมติดในลีก รั้งบ๊วยอยู่ในเวลานี้ เช่นเดียวกับวีแกน กลัวจะน้อยหน้ากัน แพ้กราวรูด 5 นัดติด อยู่อันดับ 18 มีแต้มนำหน้าคู่แข่ง แค่ 2 คู่นี้หากมีผู้แพ้ ตำแหน่งเฮดโค้ชอาจมีแรงสั่นสะเทือนมากกว่าปกติ ซึ่งไม่น่าเชื่อว่า "เดอะ ทร็อตเตอร์ส" ก่อนเปิดซัซั่นถูกยกให้เป็นทีมเต็งที่จะได้ไปเตะยูโรป้า จะต้องมาดิ้นรนอยู่ในท้ายตารางแบบนี้ แถมบุกไปเยือนวีแกน ที่หลังพิงฝาเหมือนกันอย่าคิดว่าง่าย!!
แกรี่ เคฮิลล์ จะช่วยพาทีมฝ่าวิกฤติได้หรือไม่
ปิดท้ายกันที่กรุงลอนดอน เชลซี ซึ่งผลงานดีวันดีคืน เขมือบแต้มเข้ากระเป๋าเป็นว่าเล่นช่วง 2-3 นัดหลัง ส่งผลให้ไต่มารั้งอันดับ 3 แล้ว มี 16 คะแนน แต่โอกาสลุ้นไปนั่งแท่นจ่าฝูง คงต้องรอเพลรอไปก่อน ถึงแม้ตามทฤษฎีจะมีความเป็นไปได้เพราะตาม ยูไนเต็ด อยู่ 3 แต้ม ทว่ากับความจริงแล้วยากเข็นครกขึ้นเขา เพราะลูกได้เสียเป็นรองถึง 10 ลูก ฝั่งเอฟเวอร์ตัน คู่แข่ง ทีมซึ่งได้รับความสนใจน้อยมากในปีนี้ เพราะเสียแข้งหลักไปเยอะ แถมไม่ซื้อใครเข้ามา ฟอร์มจึงขึ้นๆลงๆอย่างที่เห็น บวกกับรูปเกมที่เล่นอย่างน่าเบื่อ บุกมาเจอกับคู่แข่ง ซึ่งมาตราฐานค่อนข้างห่าง เห็นทีจะเป็นเกมที่ 3 ติดต่อกัน สำหรับ "ทอฟฟี่เมน" ที่ไม่มีแต้มติดมือ และน่าสนใจว่าจะเท้าบอดอีกเกมหรือไม่