ศึกพรีเมียร์ลีก จะกลับมาหวดโครมๆตามปกติ ถึงแม้จะมีเกมอุ่นเครื่องทีมชาติมาคั่นเมื่อกลางสัปดาห์ก็ตาม ทั้งนี้บรรดายักใหญ่ทั้ง อาร์เซน่อล, สเปอร์ส, ลิเวอร์พูล, แมนฯ ซิตี้, แมนฯ ยูไนเต็ด และ เชลซี จะลงฟาดแข้งในวันเสาร์พร้อมกันอีกด้วย
ประเดิมคู่หัวค่ำ ก็เตรียมปาดเหงื่อได้เลย เพราะเป็นศึกซูเปอร์ลอนดอน ดาร์บี้ โดย อาร์ซน่อล จะเปิดรังพบกับสเปอร์ส ซึ่งต่างฝ่ายต่างกำลังฟอร์มตก เนื่องจาก "เดอะ กันเนอร์ส" สะกดชัยไม่เจอมา 3 เกมติดต่อกันแล้ว เช่นเดียวกับ "ไก่เดือยทอง" ที่พ่ายมาถึง 3 จาก 4 แมตช์หลังสุด
เจอกันเมื่อไหร่ดีกรีความเดือดทะลุปรอททุกครั้ง
อย่างไรก็ตามเครดิตของฝั่งเด็กปืนดูดีกว่าพอสมควร เพราะที่ผ่านมา "คลับไก่" มักเอาชื่อมาทิ้งไว้ที่สนามแห่งนี้อยู่เป็นประจำ จะมีก็เพียงเมื่อฤดูกาล 2010/11 เท่านั้นที่ สเปอร์ส ยกพลมาหยิบสามแต้มออกไปได้ แต่นอกเหนือจากซีซั่นดังกล่าวแล้ว ลูกทีมของ โบอาซ แทบไม่เคยบุกมาชนะได้เลยในรอบเกือบ 20 ปีที่ผ่านมา
ถัดมาอีกคู่ ลิเวอร์พูล ขวัญใจมหาชน จะเปิดรังรับมือ วีแกน มองผิวเผินเหมือนงานง่าย เพราะชื่อชั้นเจ้าถิ่นเหนือกว่าเยอะ แต่ทว่าฟอร์ม ปีนี้ "หงส์แดง" ในบ้านฝืดสนิท กอปรกับผลงานในรัง 5 นัดหลังสุด พวกเขายังสะกดชัยกันไม่เป็น สวนทางกับ "เดอะ ลาติกส์" ซึ่งเล่น "เยือน" ได้ดีกว่า "เหย้า" และอย่าลืมว่า เกมล่าสุดที่เจอกันในแอนฟิลด์ วีแกน ทำ "เดอะ ค็อป" น้ำตาตกมาแล้ว ภายหลังที่ยกพลมาชนะ 2-1 เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา
เมื่อฤดูกาลที่ผ่านมา วีแกน เคยบุกมาช็อกแฟน "หงส์แดง" ถึงแอนฟิลด์
ด้านแชมป์เก่า แมนฯ ซิตี้ ผลงานโดยรวมตั้งแต่เปิดซีซั่น ยังไม่เข้าตากรรมการ ต่างกับปีก่อนที่เปิดตัวได้อย่างร้อนแรง อย่างไรก็ดี ฟอร์มในเอติฮัด ยังเป็นจุดขายของ "เรือใบ" มาโดยตลอด เพราะกว่า 35 เกมแล้ว ที่พวกเขาไม่เคยทำให้กองเชียร์ในแมนเชสเตอร์ ต้องผิดหวัง ขณะที่ วิลล่า มีพัฒนาการที่ดี ด้วยการเข้าวินมา 2 เกมติดในฐานะผู้มาเยือน แต่ก็น่าห่วงแทนแฟน "สิงห์ผงาด" หากเหลือบไปดูปูมหลังซึ่ง วิลล่า บุกมายัดเยียดความปราชัยให้ ซิตี้ ได้เพียงครั้งเดียวนับตั้งแต่ปี 1982
ข้ามฟากไปที่แดนอีสาน "สาลิกาดง" นิวคาสเซิ่ล ผลงานในบ้านไม่ขลังเหมือนซีซั่นก่อน ล่าสุดก็เจ๊งคารังให้กับ เวสต์แฮม ขณะที่ผู้มาเยือนสวอนซี เริ่มกลับมาร่ายมนต์อีกครั้ง เพราะนอกจากจะแพ้ครั้งเดียวตลอด 5 เกมหลังสุด "หงส์ขาว" ยังบุกทุบ ลิเวอร์พูล ตามด้วยไล่ตีเสมอ เชลซี ไปแบบน่าชนะ จึงน่าสนใจไม่น้อยว่า "เดอะ แม็กพายส์" ที่กำลังเสียศูนย์ จะต้านทานความร้อนแรงของ "เดอะ สวอนส์" ได้หรือไม่
ถัดมาก็น่าสนใจไม่แพ้กัน เพราะเป็นศึกหนีตาย "ผีเน่า" ควีนส์ปาร์คฯ จะรับมือกับ "โรงผุ" เซาท์แฮมป์ตัน คู่นี้มีเดิมพันหลายอย่างทั้งในแง่ของสถานะในตาราง และในเรื่องเก้าอี้ของตัวกุนซือ เพราะหากมีผลแพ้ชนะเกิดขึ้น วันถัดมาอาจมีข่าวพาดหัวผู้จัดการทีมในพรีเมียร์ลีกคนแรกตกงานก็เป็นได้
จบเกมนี้อาจมีสักคนที่ตกเก้าอี้
ส่วน เชลซี ทีมเงินถังจากลอนดอน ซึ่งออกสตาร์ทได้อย่างฮือฮา แต่ระยะหลังเริ่มน็อตหลุด เพราะเก็บได้เพียง 2 แต้ม จาก 3 เกมหลังสุดเท่านั้น ซ้ำร้าย จอห์น เทอร์รี่ หัวใจของทีมยังเจ็บหนัก ถือว่าเป็นช่วงพระศุกร์เข้าพระเสาร์แทรกอย่างแท้จริง อีกทั้งยังต้องบุกมาเยือนคู่แข่งฟอร์มร้อนอย่าง เวสต์บรอมวิช แต่สาวก "สิงห์บลูส์" โล่งใจไปได้เปราะหนึ่ง เพราะสถิติที่ผ่านมา ทีมจากลอนดอนข่ม "เดอะ แบ็กกี้ส์" แบบมิดด้าม สถิติยกพลมาแพ้ครั้งสุดท้ายต้องย้อนไปถึงปี 1979 โน่นเลย!!
ปิดท้ายกันที่คู่ดึก "ปิศาจแดง" ขวัญใจมหาชน เจองานเบากว่าชาวบ้าน ด้วยการยกพลบุก แคร์โรว์ โร้ด รัง "นกขมิ้น" คู่นี้มองง่ายมาก เพราะห่างกันทุกท่วงท่าไม่ว่าจะเป็นชื่อชั้น หรือปูมหลัง เนื่องจาก เด็กผีบุกมาแพ้กลับออกไปเพียงแค่นัดเดียวในรอบ 20 กว่าปี จึงไม่แปลกหาก "เร้ด เดวิลส์" จะคงยึดตำแหน่งจ่าฝูงต่อไปอีกสัปดาห์