ufa1919 ufazeed buddy99 ufa168pro วิเคราะห์บอล
socceroos | 19 / 12 / 2012 17:16

ฉากหลังของบุนเดสลีก้าเมื่อผ่านมาครึ่งทาง...บทที่ 2

             ท่าทางการเล่นของ มาร์ติเนซ อาจไม่กระฉับกระเฉงหรือมีท่ายากมาเรียกเสียงฮือฮาจากแฟนบอลได้เหมือนจอมเทคนิคประจำทีมอย่าง ฟร้องค์ ริเบรี่ ทว่าอย่างน้อย ๆ ทรงบอลของห้องเครื่องส่วนสูง 190 ซม. ก็ดูภูมิฐานและเยือกเย็น ซึ่งลิ้งค์กับสไตล์การเล่นของ ชไวน์สไตเกอร์ อย่างลงตัว

            นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไม หลุยส์ กุสตาโว่ ถึงถูกลดบทบาทลงไปจากเมื่อปีกลาย ทั้ง ๆ ที่มิดฟิลด์บราซิเลี่ยนครองบอลดีและสอดขึ้นมายิงประตูได้บ่อย ทว่าในแง่ของการควบคุมสมดุลย์รุก-รับของเกมแดนกลาง ดูเหมือนการเชื่อมต่อระหว่างคู่ของ ชไวนี่กับ มาร์ิติเนซ ดูจะมีผลลัพธ์ไหลลื่นกว่า


                               หลุยส์ กุสตาโว่ (กลาง) ถูกลดบทบาทในแดนกลางเพื่อหลีกให้ มาร์ติเนซ ทั้งที่เจ้าตัวครองสถิติผ่านบอลแม่นสุดในลีก


            อีกปัจจัยที่ทำเอาจุดเด่นเรื่องการผลิตประตูจากแถวสองของ กุสตาโว่ ไม่ได้น้ำหนักจาก ไฮย์เกส ดังแต่ก่อน ก็เพราะบุคลากรยุคปัจจุบันของ "เสือใต้" มีเครื่องจักรสังหารตาข่ายอยู่เต็มทีม แค่ ริเบรี่, ชไวน์สไตเกอร์, มุลเลอร์และ โครส รวมกันก็กดในลีกไป 23 เม็ดแล้ว

            นี่ยังไม่รวม อาร์เยน ร๊อบเบน ซึ่งอยู่ระหว่างเยียวยาอาการบาดเจ็บและ เซอร์ดาน ชากิรี่ เพลย์เมคเกอร์ร่างตันทีมชาติสวิตเซอร์แลนด์ ที่ร่ายมนต์เมื่อครั้งพาอดีตต้นสังกัด บาเซิ่ล โค่น บาเยิร์น แบบล็อคถล่มในเวที แชมเปี้ยนส์ ลีก จน ไฮย์เกส ต้านกิเลสไม่ไหวและตัดสินใจคว้าตัวมาร่วมทีม

            แดนหน้าเป็นจุดที่หลายทีมต้องอิจฉา บาเยิร์น เพราะทั้งๆที่เล่นระบบหัวหอกเดี่ยว แต่ไม่ว่าจะส่งใครลงล่าแต้ม ดาวยิงรายนั้นก็ยิงแหลกและแจ้งเกิดแบบเต็มตัวมาทุกยุค ทุกสมัย ที่พอนึกออกคร่าว ๆ ก็มี รอย มาคาย, ลูก้า โทนี่, โจวานนี่ เอลแบร์และ มิโรสลาฟ โคลเซ่



                         บาเยิร์นไม่เคยขัดสนเรื่องดาวยิง เพราะมีรับช่วงสัมปทานต่อในทุกยุค ทุกสมัย

           ครั้นจะเอาไปถึงยุคดึกดำบรรพ์อย่าง แกร์ด มุลเลอร์ (1979) หรือ คาร์ล ไฮนซ์ รุมเมนิกเก้ (1983) เกรงว่าหลายท่านจะเกิดไม่ทัน (รวมถึงผมด้วย - -*) จนปัจจุบันยักษ์ใหญ่ค่ายบาวาเรียก็ปลุกเสกเพชฌฆาตชั้นยอดออกมาใช้งานได้ต่อเนื่อง แม้หลายรายจะโม้ได้ไม่เต็มปากว่าปั้นมากับมือ เพราะทุ่มเงินฉกทีมอื่นมา


             ทว่าอย่างน้อยที่สุดเมื่อย้ายมาสวมเสื้อ บาเยิร์น แล้ว ศูนย์หน้าเหล่านั้นก็ถูกเจียระไนให้รัศมีเปล่งปลั่งขึ้นกว่าเดิม เสมือนดาวฤกษ์ที่ไม่ต้องคอยส่งประกายเผื่อดาวเคราะห์ เพราะได้มารวมหมู่กับดาวประเภทเดียวกัน จึงส่องสว่างมากขึ้น เมื่อภาระน้อยลงต่างจากตอนเล่นกับทีมเก่าในบทบาทซูเปอร์สตาร์

             ท่ามกลางการแข่งขันที่เบียดเสียดกลายเป็นผลดีต่อทีมโดยปราศจากข้อสงสัย ขนาดว่าดาวซัลโวของสโมสรเมื่อซีซั่นแล้วที่มีดีกรีทีมชาติเยอรมันแปะอกอย่าง มาริโอ โกเมซ ปลีกตัวไปพักฟื้นอาการบาดเจ็บพักเดียว พอกลับมาก็แทบไม่มีพื้นที่ว่างให้ยืน เพราะพระรองนาม มาริโอ มานด์ซูคิช ยึดบทตัวเอกไปเรียบร้อยและหนทางเดียวที่จะสามารถเล็ดลอดขึ้นยืนอยู่บนจุดสูงสุดในฐานะมือปืนเบอร์หนึ่งก็คือต้อง ยิง .. ยิง ... และยิงให้มากกว่าคนอื่น

              จากปัจจัยที่กล่าวมาทั้งหมดเป็นตัวแปรสำคัญว่าทำไมปีนี้สต๊าฟของ "เสือใต้" ต้องเตรียมขัดตู้โชว์บนหอเกียรติยศ ณ อัลลิอันซ์ อารีน่า ไว้รอ เพราะมีเกณฑ์ว่าจะได้ใช้งาน ภายหลังที่เส้นทางการทวงความยิ่งใหญ่นั้นสะดวดสดใสจริงๆ และนอกเหนือจากตัวเองจะดีแล้ว คู่ปรับตัวฉกาจยังอิ่มกับความสำเร็จจนอืดอาดเชื่องช้าลงไปด้วย ... พรุ่งนี้มีติดตามกันว่าทำไม ดอร์ทมุนด์ ถึงแผ่ว!!!

สถิติน่าสนใจ


เมื่อวานว่ากันเรื่องนักเตะและทีมจอมขยันไปแล้ว วันนี้มาต่อกันที่อีกองค์ประกอบสำคัญของการเล่นฟุตบอล นั่นก็คือการผ่านบอล เพราะยุคนี้ไม่ใช่เกมลูกหนังยุคหินที่บอลโยนกับผู้เล่นร่างยักษ์จะหากินสะดวกอีกต่อไป

หลังจากพ้นครึ่งทางมีการจัดอันดับจาก Bundesliga ออกมาแล้วว่าประสิทธิภาพการจ่ายบอลของผู้เล่นค่ายไหนแม่นยำที่สุด คงพอจะเดาออกว่าเป็น บาเยิร์น เพราะฟอร์มดีและแต้มนำโด่งคู่แข่งมากขนาดนั้น โดยเปอร์เซนต์ผ่านบอลเข้าเป้าของ "เสือใต้" อยู่ที่ 87.8% ซึ่งนับว่าสูงมาก ส่วนที่ตามติดมาก็มี ดอร์ทมุนด์ (83.1%) และ ชาลเก้ (82.8%)

ทางด้านรายบุคคลมีพลิกโผเล็กน้อย เมื่อเท้าชั่งทองเบอร์หนึ่งของเวทีบุนเดสลีก้าคือ หลุยส์ กุสตาโว มิดฟิลด์แซมบ้าของ บาเยิร์น ที่บทบาทในทีมลดลงไปนับตั้งแต่การเข้ามาของ มาร์ติเนซ ทว่าตัวเลขความแม่นยำของอดีตแข้งฮอฟเฟ่นไฮม์ไม่ธรรมดาเลย เพราะอัตราอยู่ที่ 96.5% ดังนั้นคนที่รอบอลจากหมอนี่อุ่นใจได้เลยว่าเสิร์ฟลูกให้เล่นถึงที่แน่

นอกเหนือจากตัวท๊อปของลีกอย่าง กุสตาโว่ แล้ว รายที่เหลือไม่มีอะไรให้แปลกใจ เนื่องจากเป็นกองหลังในตำแหน่งเซนเตอร์แบ็กล้วน ๆ อาทิ โฮลเกอร์ บาดสตูเบอร์ (94%), โรเอล บรูเวอร์ส (92.4%), ดานเต้ (92.3%) ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติ

เหตุเพราะทีมส่วนใหญ่ขึ้นเกมจากแนวรับไม่ได้เน้นให้โกล์เตะจุดพลุไปลุ้นตายเอาดาบหน้า ดังนั้นบอลจึงผ่านเท้ากองหลังเยอะและที่เปอร์เซนต์ความแม่นสูงก็เพราะเป็นการจ่ายบอลพื้นฐาน ไม่ได้ออกบอลในจังหวะทีเด็ดทีขาดที่ต้องใช้ความเสี่ยงเยอะเหมือนบรรดามิดฟิลด์แต่อย่างใด





ฉากหลังของบุนเดสลีก้าเมื่อผ่านมาครึ่งทาง...บทแรก

             ผ่านพ้นไปครึ่งทางแล้วสำหรับถนนสู่ถาดแชมป์บุนเดสลีก้าฤดูกาล 2012/13 จนถึงล่าสุดดูเหมือนว่าโอกาสป้องกันตำแหน่งของ ดอร์ทมุนด์ จะห่างไกลความจริงมากขึ้นทุกที เพราะนอกจากจะตามหลังทีมนำอย่าง บาเยิร์น ด้วยระยะห่างถึง 12 แต้ม

             เวลานี้ช่องว่างระหว่าง "เสือใต้" กับ "เสือเหลือง" ยังมี เลเวอร์คูเซ่น มาแทรกตรงกลางอีกด้วย โดยซีซั่นนี้ทีมของเทรนเนอร์ เจอร์เก้น คล็อปป์ เล่นตกไปเยอะ เพราะหากเทียบกับผลงานทั้งฤดูกาลก่อน (ชนะ 25 เสมอ 6 แพ้ 3) จะเห็นชัดมาก

             เนื้อหาฟอร์มการเล่นในเทอมนี้ของ ดอร์ทมุนด์ คือ ชนะ 8 เสมอ 6 แพ้ 3 นั่นหมายความว่าหาก คล็อปป์ หวังพาลูกทีมทำผลงานทาบฤดูกาลที่แล้วให้ได้ พวกเขาจะต้องชนะรวดทั้ง 17 เกมในเลก 2 ซึ่งดูแล้วเป็นไปได้แค่ในทางทฤษฏีเท่านั้น

                                
                                      ปีนี้คงยากที่แฟน "เสือเหลือง" จะได้ลิ้มรสความสำเร็จอีก เพราะทีมรักเล่นตกไปเยอะ

             ในขณะที่ ดอร์ทมุนด์ สะดุดขาตัวเองอยู่นั้น คู่ปรับตัวฉกาจอย่าง บาเยิร์น ยกระดับขุมกำลังขึ้นมาให้คู่แข่งร่วมลีกตาร้อนผ่าว เพราะเมื่อช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมาบอร์ดบริหาร "เสือใต้" อนุมัติเงินให้กุนซือ จุ๊ปป์ ไฮย์เกส เสริมแกร่งทีมด้วยเช็คไม่ระบุตัวเลข เนื่องจากหวังกอบกู้ศรัทธาหลังจากตกอยู่ใต้ปีกความสำเร็จของ "เสือเหลือง" มาสองปีเต็ม

              การคว้าตัว ดานเต้ มาเสริมหลังบ้านถือว่าลงล็อคสุด ๆ เพราะเอาเข้าจริงแล้วหลังพ้นยุคของ ลูซิโอ พ่วงด้วยวัยที่เริ่มโรยราของ ดาเนี่ยล ฟาน บุยเต็น ก็แทบไม่เห็นเซนเตอร์ฮาล์ฟคู่ไหนสร้างความอุ่นใจให้สาวก "เสือใต้" ได้เลย

              เมื่อสองกองหลังดีกรี (เด็กเส้น) ทีมชาติเยอรมันทั้ง โฮลเกอร์ บาดสตูเบอร์และ เจอโรม บัวเต็ง รายหนึ่งก็โฉ่งฉ่าง อีกคนก็ไม่ใช่เซนเตอร์แบ็กโดยธรรมชาติ ดังนั้นการเข้ามาของ ดานเต้ เปรียบดั่งจิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญที่ ไฮย์เกส ทำตกหายและขวนขวายมานานกว่าจะหาเจอ

              เดิมทีกองหลังหัวฟูเล่นกับ กลัดบัค ก็โดดเด่นอยู่แล้ว แต่พอมาได้แดนกลางที่เกื้อหนุนกันดีอย่าง บาสเตียน ชไวน์สไตเกอร์และ ฆาบี มาร์ติเนซ เป็นเมืองหน้าด่านคอยรับศึกก่อน ส่งผลให้งานเก็บกวาดของ ดานเต้ ยิ่งง่ายและเสริมบารมีให้เจ้าตัวได้รับคำชมมากกว่าตอนสวมเสื้อ "สิงห์หนุ่ม" เสียอีก
    
              ส่วนตำแหน่งฟูลแบ็กไม่มีอะไรให้ต้องห่วง เพราะ ฟิลิปป์ ลาห์ม ซื้อไอเทมอมตะมาเป็นสมบัติส่วนตัวเรียบร้อย เนื่องจากตลอดทั้งปีหากไม่ติดงานบวชลูกหรือแซยิดญาติผู้ใหญ่ รับรองว่า ลาห์ม ไม่เคย ขาด ลาหรือมาสาย ขณะที่เกมรับฝั่งขวาสลับหน้ากันรับผิดชอบได้หลายรายทั้ง บัวเต็ง, บาดสตูเบอร์ ขนาดแบ็กขวาอาชีพอย่าง ราฟินญ่า ยังแทบไม่มีโอกาสลงเคาะสนิมเลย

              ขยับมาถึงพื้นที่สำคัญ ซึ่งเป็นใจกลางความสำเร็จของ "เสือใต้" ในฤดูกาลนี้ก็คือแผงมิดฟิลด์ เพราะกลยุทธ์ในยุคของ ไฮย์เกส อัดกองกลางลงสนามถึง 5 รายด้วยแผน 4-2-3-1 โดยช่วง 2-3 ซีซั่นก่อนหน้านี้มีเพียง บาสเตียน ชไวน์สไตเกอร์ เป็นจอมทัพ ส่วนลูกหาบก็สลับกันเอาระหว่าง มาร์ค ฟาน บอมเมล, อันเดรียส อ๊อตเติ้ลหรืออนาโตลี ติมอสชุค ก็ว่ากันไป

              ปัญหาคือเมื่อใดที่ ชไวนี่ เจ็บ การเชื่อมระหว่างรุก-รับมักจะช็อต ยิ่งถ้าช่วงนั้น บาเยิร์น มีคิวเตะถี่ควบสองรายการทั้งในลีกและบอลยุโรปด้วยล่ะก็ การเหลือคุณลุง บอมเมล คนเดียวนั้นไม่เพียงพอ แม้ว่า โทนี่ โครส จะเป็นอีกทางเลือกที่ใช้ได้ แต่ ณ ตอนนั้นพรรษาแข้งของ โครส ยังอ่อนเกินไป ขนาดเจ้าตัวเองยังจับจุดคาแร็คเตอร์ตัวเองไม่ได้ด้วยซ้ำว่าจะเล่นสไตล์ไหนดี

                          
                      แดนกลาง บาเยิร์น ยืดหยุ่นมากขึ้นนับตั้งแต่ได้ ฆาบี มาร์ติเนซ (ขวา) มาช่วยลดภาระให้ ชไวน์สไตเกอร์

              ไม่เชื่อลองเทียบ โครส ในวันวานกับตอนนี้ จะเห็นว่ากองกลางวัย 22 กะรัต มีบทบาทสำคัญกับทีมมากขึ้น โดยเฉพาะการสอดขึ้นมายิงประตูจังหวะที่พวกเกมรุกไอเดียนัดกันเจอทางตัน เพราะสองฤดูกาลก่อนรวมกันลงสนามเกือบ 50 เกม ปรากฏว่ายิงได้แค่ 5 ลูก แต่ซีซั่นนี้ โครส ตะบันไปแล้ว 6 ตุงตั้งแต่ยังไม่ผ่านครึ่งทางด้วยซ้ำ

              ขณะเดียวกันการโอนถ่ายครั้งสำคัญก็คือ การคว้าตัวมนุษย์ 40 ล้านยูโร (ราว 1.6 พันล้าน) อย่าง ฆาบี มาร์ติเนซ ที่ตอนแรกถูกปรามาสว่าทีมที่จะซื้อนั้น "รวยอย่างเดียวไม่ได้ ต้องโง่ด้วย" แต่หลังจากย้ายมาปักหลักหากินในแคว้นบาวาเรียได้ไม่นาน อดีตกองกลาง แอธ.บิลเบา ก็พิสูจน์ให้เห็นว่าตัวเขานั้นคุ้มค่าทุกเม็ดเงิน ... ติดตามต่อพรุ่งนี้

สถิติน่าสนใจ



- เชื่อหรือไม่ว่า บาสเตียน ชไวน์สไตเกอร์ ที่เห็นเดิน ๆ วิ่ง ๆ จ่ายบอลสบาย ๆ แบบนั้น หลังฉากแล้วเขาเป็นผู้เล่นที่วิ่งเยอะสุดของทีม โดยสัปดาห์ส่งท้ายครึ่งฤดูกาลแรกกับ กลัดบัค นั้น จอมทัพทีมชาติเยอรมันวิ่งพล่านรวมระยะแล้วกว่า 12.6 กิโลเมตร

-ทว่านั่นก็ยังไม่เพียงพอที่จะช่วยให้ "เสือใต้" เก็บสามแต้มเข้ากระเป๋าสำเร็จ เพราะความขยันของ ชไวนี่ ยังเป็นรอง ฮาเวิร์ด นอร์ดเวต (13 ก.ม.) กับ ธอร์เบน มาร์กซ์ (12.7 ก.ม.) คู่มิดฟิลด์ของ "สิงห์หนุ่ม" ที่รวมพลังช่วยกันวิ่งจนพาต้นสังกัดบุกหยิบแต้มกลับออกไปจากแคว้นบาวาเรียได้แบบพลิกความคาดหมาย
-ส่วนสโมสรที่ทุ่มเทมากที่สุดของบุนเดสลีก้าในสัปดาห์ที่ 17 เดาไม่ยาก นั่นก็คือ กลัดบัค นั่นเอง โดยลูกทีมของ ลูเซียง ฟาฟร์ อาศัยสไตล์ วิ่ง สู้ ฟัด และทำระยะทางไปรวม 125 กิโลเมตร กว่าจะได้ผลตอบแทนเป็นหนึ่งแต้มจากรังจ่าฝูง ซึ่งหากเห็นภาพชัดกว่าเดิมก็ระยะทางประมาณขับรถจาก กรุงเทพไปกาญจนบุรี (128 ก.ม.) เลยทีเดียว

 


พื้นที่โฆษณา

สมาชิกโปรดล็อกอินก่อนร่วมแสดงความคิดเห็น

แสดงความคิดเห็นเป็นคนแรกสิคะ