จอมโหดเก้าแต้มสามคลีนชีต
เชื่อว่าใครหลายคนคงโฟกัสไปที่เจ้าภาพรัสเซีย จนลืมไปว่าอีกหนึ่งทีมร่วมสายผลงานสุดโหดอย่างอุรุกวัยก็น่าจับตามองเหมือนกัน ด้วยผลงานระทึกขวัญ(คู่แข่ง) ชนะรวดสามนัดเก็บ 9 แต้มเต็มโดยไม่เสียประตูให้ใคร
ขุนพลเจ้าของฉายาจอมโหดมีจุดแข็งที่น่าสนใจหลายประการ ซึ่งเห็นได้จากสามแมตช์ในรอบแบ่งกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นเกมรับที่ไม่พูดถึงไม่ได้ เพราะคู่เซ็นเตอร์ฮาล์ฟอย่าง ดิเอโก้ โกดิน กับ โฆเซ่ กิเมเนซ คือพาร์ทเนอร์ตัวหลักของสโมสรแอตเลติโก มาดริด ในซีซั่น 2017/18 นั่นทำให้ความเข้าใจและการประสานงานลงตัวแบบไม่ต้องปรับจูน
ขณะที่แดนกลางทางด้าน ออสการ์ ตาบาเรซ กุนซือใหญ่วัย 71 ปี ดึงนักเตะจาก กัลโช่ เซเรีย อา มาเป็นแกนหลักของทีมชุดนี้ แม้ว่าชื่อชั้นและประสบการณ์ในรายการระดับเมเจอร์อาจไม่มาก แต่คลาสบอลกับฝีเท้าที่ไม่ต่างกัน ทำให้ทุกคนสามัคคีและเล่นโดยไม่มีใครเหนือกว่าใคร หรือใครโดดกว่าใคร
ปิดท้ายด้วยเกมรุกที่มีแฝดต่างฝาอย่าง หลุยส์ ซัวเรซ กับ เอดิสัน กาวานี่ เป็นหัวใจสำคัญ ซึ่งทั้งสองคนนี้มีความพิเศษในตัวเองชนิดที่ศูนย์หน้าทุกคนต้องอิจฉา นั่นคือการปิดสกอร์โดยไม่ต้องอาศัยการสนับสนุนจากแดนกลางมากนัก ไม่ต้องต่อบอลสวยงามหรือมีคิลเลอร์พาสทะลุให้ถึงเท้า เรียกว่าจบครบเครื่องด้วยตัวเอง
ที่ว่าแฝดต่างฝานั้นก็เพราะทั้งคู่เกิดในเมืองเดียวกัน, ปีเดียวกัน, เดือนเดียวกัน แค่ห่างกันเพียง 10 วันเท่านั้น นอกจากนี้ยังเริ่มต้นรับใช้ชาติลุยฟุตบอลโลกในปี 2010 พร้อมกันอีกด้วย
ส่วนจุดอ่อนของทีมชาติอุรุกวัยที่เห็นได้ชัดสุด คือริมเส้นทั้งสองฝั่งที่ยังไม่จี๊ดจ๊าดพอ โดยเฉพาะแบ็คซ้ายงานหลักของ มาร์ติน กาเซเรส (ลาซิโอ) ที่ทำเกมรุกไม่เป็น และเลี้ยงจี้กินตัวไม่ได้เท่าที่ควร แต่ก็ยังดีที่ได้การเล่นเกมรับเหนียวแน่นเข้ามาทดแทน นอกจากนี้ปัญหาที่อาจกลายเป็นข้อด้อยอีกอย่างหนึ่งก็คือคลาสแดนกลางที่แทบจะไม่มีทีเด็ดลูกทะลุช่อง หรือ "คิลเลอร์พาส" ให้เห็นเด่นชัด ฉะนั้นทุกประตูทุกความหวังจึงตกไปอยู่ที่สองหน้าคู่มหาแบกตามเคย
ทีมชาติอุรุกวัยสามารถเก็บ 9 แต้มเต็มจากสามนัดในรอบแรก ด้วยการชนะ อียิปต์ 1-0, ซาอุดิอาระเบีย 1-0 และเจ้าภาพรัสเซีย 3-0 ส่งให้พวกเขากลายเป็นทีมแรกที่ไม่เสียประตูให้ใครในรอบแบ่งกลุ่ม โดยเหลือเพียงแค่ โครเอเชีย ที่ผ่านไปสองนัดแล้วยังไม่พลาดลูกแรกให้ใครเช่นกัน