เนดุม โอนัวอา อดีตกองหลังแมนเชสเตอร์ ซิตี้ เผยความรู้สึกไม่รู้สึกปลอดภัย 100% เลย หลังเกิดเหตุการณ์การจราจลที่สหรัฐอเมริกา
โอนัวฮา เล่นให้รีล ซอลท์ เลค ทีมในยูทาห์ หลังจากที่เล่นที่คิวพีอาร์ 6 ปี
"ผมรู้สึกหวาดระแวงมาตลอดว่าจะต้องทำตัวอย่างไร และระแวงว่าผู้มีอำนาจมองผมอย่างไร" โอนัวฮา วัย 33 ปี กล่าวกับ BBC Radio 5 Live
"สำหรับผมโดยส่วนตัว บอกตรงๆ นี่คือสิ่งที่ผมไม่อยากพูด แต่ก็ต้องบอกว่าผมกลัว และไม่ไว้ใจเจ้าหน้าที่ตำรวจ"
การประท้วงที่สหรัฐอเมริกานับถึงตอนนี้ลุกลามไปยัง 75 เมือง นับตั้งแต่จอร์จ ฟลอยด์ ชายผิวสีที่ไม่มีอาวุธ เสียชีวิตหลังจากที่ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจผิวขาวกดคออยู่กับพื้นจนเสียชีวิต
ดีเร็ก ชอวิน เจ้าหน้าที่ตำรวจมินเนอาโปลิส ที่ใช้หัวเข่ากดที่คอของฟลอยด์ ถูกตั้งข้อหาฆาตกรรม เขา และเจ้าหน้าที่ตำรวจอีก 3 คน โดนไล่ออกจากการเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ
คนดังของวงการกีฬาร่วมรณรงค์ 'blackout' โดยการอัพโหลดรูปสีดำพร้อมข้อความสนับสนุน
โอนัวฮาสนับสนุนผู้ประท้วงโดยกล่าวว่า "มันเป็นอะไรที่น่าเศร้า พวกเขาอัดอั้นมานาน เป็นคลื่นลูกใหญ่ที่มีพลังมาก เวลานี้คนพูดถึงจอร์จ ฟลอยด์กันมาก เรื่องเหล่านี้เป็นปัญหามาหลายสิบปี"
"ประชาชนพยายามที่จะส่งเสียงมานาน ผมเองก็พยายามพูดหลายอย่าง แต่ถูกหมางเมินมาตลอด ที่สุดผู้คนก็เลิกทน ที่ทำให้ผมมีความหวังก็คือว่า คนที่ประท้วงอยู่ในตอนนี้ไม่ได้มีแค่คนผิวดำ"
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ออกโรงขู่ส่งทหารจัดการการจราจลที่เกิดขึ้นตามเมืองต่างๆ ที่มีทั้งฝ่ายประชาชน และเจ้าหน้าที่ได้รับบาดเจ็บ
โอนัวฮาเสริมด้วยว่า กฎหมายเกี่ยวกับปืนในสหรัฐทำให้เขาไม่สบายใจ "ผมรักที่จะอยู่ประเทศนี้ แต่มันมีความจริงอีกด้าน"
"ที่อังกฤษผมรู้สึกสบายใจกว่า เพราะถ้าเกิดอะไรขึ้นมันก็จะไม่เลวร้ายถึงตาย แต่ที่นี่ มันธรรมดามาก ที่แค่คุณทะเลาะวิวาทกันก็ถึงตายได้ เนื่องจากเอาสิทธิเป็นตัวตั้ง เวลาไปไหนมาไหนที่นี่ผมจะระวังตัวเสมอ"
"อยู่ที่สหรัฐอเมริกามันก็สบายดี แต่ในเรื่องของความโหดร้ายไม่ว่ารูปแบบไหน ถ้าเกิดว่ามาจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ ถ้าเกิดพวกเขาเข้าใจผมผิดล่ะก็ พวกเขาอาจจะเอาชีวิตผมไปก็ได้ ผมรู้สึกแบบนี้ทุกวัน ไม่ใช่แค่ผมที่คิด คนอื่นก็คิดแบบนี้"
"ผมไม่ได้จะบอกว่าตำรวจอะไรก็ไม่ดี ตำรวจที่ดีก็มี แต่บางครั้งผมรู้สึกผู้คนชื่นชมตำรวจเกินไป และทำให้พวกเขาดูเหมือนเป็นซูเปอร์แมน ความจริงก็คือ เขาก็แค่คนจากสังคม ที่มีตรา มีปืน และอำนาจมากกว่า เวลาออกไปไหนมาไหน ผมไม่เคยรู้สึกปลอดภัย 100%"