ฟุตบอล ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบรองชนะเลิศ นัดสอง
เชลซี (อังกฤษ, 2) -vs- ลิเวอร์พูล (อังกฤษ, 4).....(01.45 น.)
สนาม : สแตมฟอร์ด บริดจ์
ราคา : เชลซี ต่อ ปปลบสิบ
ผลนัดแรก : ลิเวอร์พูล 1-1 เชลซี
สถิติการพบกันในรายการนี้
01-05-07 รอบรองฯ ลิเวอร์พูล ชนะ เชลซี 1-0
25-04-07 รอบรองฯ เชลซี ชนะ ลิเวอร์พูล 1-0
06-12-05 รอบแบ่งกลุ่ม เชลซี เสมอ ลิเวอร์พูล 0-0
28-09-05 รอบแบ่งกลุ่ม ลิเวอร์พูล เสมอ เชลซี 0-0
03-05-05 รอบรองฯ ลิเวอร์พูล ชนะ เชลซี 1-0
27-04-05 รอบรองฯ เชลซี เสมอ ลิเวอร์พูล 0-0
สถิติการพบกันที่ สแตมฟอร์ด บริดจ์ 10 นัดหลังสุดทุกรายการ
10-02-08 เชลซี เสมอ ลิเวอร์พูล 0-0 ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก
19-12-07 เชลซี ชนะ ลิเวอร์พูล 2-0 ลีก คัพ
25-04-07 เชลซี ชนะ ลิเวอร์พูล 1-0 ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก
17-09-06 เชลซี ชนะ ลิเวอร์พูล 1-0
22-04-06 เชลซี แพ้ ลิเวอร์พูล 1-2 เอฟเอ คัพ
05-02-06 เชลซี ชนะ ลิเวอร์พูล 2-0
06-12-05 เชลซี เสมอ ลิเวอร์พูล 0-0 ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก
27-04-05 เชลซี เสมอ ลิเวอร์พูล 0-0 ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก
03-10-04 เชลซี ชนะ ลิเวอร์พูล 1-0
07-01-04 เชลซี แพ้ ลิเวอร์พูล 0-1
สถิติน่าสนใจของคู่นี้คือ ลิเวอร์พูล ในยุค เบนิเตซ ยังยิงประตูที่ สแตมฟอร์ด บริดจ์ ไม่ได้สักลูก
ผลงานในรอบที่ผ่านมา
เชลซี
รอบแบ่งกลุ่ม 32 ทีม
เสมอ โรเซนบอร์ก (นอร์เวย์) 1-1 (เหย้า)
ชนะ บาเลนเซีย (สเปน) 2-1 (เยือน)
ชนะ ชาลเก้ (เยอรมัน) 2-0 (เหย้า)
เสมอ ชาลเก้ (เยอรมัน) 0-0 (เยือน)
ชนะ โรเซนบอร์ก (นอร์เวย์) 4-0 (เยือน)
เสมอ บาเลนเซีย (สเปน) 0-0 (เหย้า)
(ผ่านเข้ารอบด้วยการเป็นทีมอันดับ 1 ของกลุ่ม บี)
รอบ 16 ทีมสุดท้าย นัดแรก
เสมอ โอลิมเปียกอส (กรีซ) 0-0 (เยือน)
รอบ 16 ทีมสุดท้าย นัดสอง
ชนะ โอลิมเปียกอส (กรีซ) 3-0 (เหย้า)
(รวม 2 นัด : เชลซี ชนะ 3-0)
รอบก่อนรองชนะเลิศ นัดแรก
แพ้ เฟเนร์บาห์เช่ (ตุรกี) 1-2 (เยือน)
รอบก่อนรองชนะเลิศ นัดสอง
ชนะ เฟเนร์บาห์เช่ (ตุรกี) 2-0 (เหย้า)
(รวม 2 นัด : เชลซี ชนะ 3-2)
ลิเวอร์พูล
รอบคัดเลือก รอบสาม นัดแรก
ชนะ ตูลูส (ฝรั่งเศส) 1-0 (เยือน)
รอบคัดเลือก รอบสาม นัดสอง
ชนะ ตูลูส (ฝรั่งเศส) 4-0 (เหย้า)
(รวม 2 นัด : ลิเวอร์พูล ชนะ 5-0)
รอบแบ่งกลุ่ม 32 ทีม
เสมอ เอฟซี ปอร์โต้ (โปรตุเกส) 1-1 (เยือน)
แพ้ โอลิมปิก มาร์กเซย (ฝรั่งเศส) 0-1 (เหย้า)
แพ้ เบซิคตัส (ตุรกี) 1-2 (เยือน)
ชนะ เบซิคตัส (ตุรกี) 8-0 (เหย้า)
ชนะ เอฟซี ปอร์โต้ (โปรตุเกส) 4-1 (เหย้า)
ชนะ โอลิมปิก มาร์กเซย (ฝรั่งเศส) 4-0 (เยือน)
รอบ 16 ทีมสุดท้าย นัดแรก
ชนะ อินเตอร์ (อิตาลี) 2-0 (เหย้า)
รอบ 16 ทีมสุดท้าย นัดสอง
ชนะ อินเตอร์ (อิตาลี) 1-0 (เยือน)
(รวม : 2 นัด : ลิเวอร์พูล ชนะ 3-0)
รอบก่อนรองชนะเลิศ นัดแรก
เสมอ อาร์เซน่อล (อังกฤษ) 1-1 (เยือน)
รอบก่อนรองชนะเลิศ นัดสอง
ชนะ อาร์เซน่อล (อังกฤษ) 4-2 (เหย้า)
(รวม 2 นัด : ลิเวอร์พูล ชนะ 5-3)
ฟอร์มเกมเหย้าในลีกของ เชลซี : แข่ง 18 ชนะ 12 เสมอ 6 แพ้ 0 ได้ 35 เสีย 12 มี 42 แต้ม
ฟอร์มเกมเยือนในลีกของ ลิเวอร์พูล : แข่ง 18 ชนะ 8 เสมอ 7 แพ้ 3 ได้ 22 เสีย 15 มี 31 แต้ม
ฟอร์ม 5 นัดล่าสุด
เชลซี
26-04-08 ชนะ แมนฯยูไนเต็ด 2-1 (เหย้า)
22-04-08 เสมอ ลิเวอร์พูล 1-1 (เยือน) ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก
17-04-08 ชนะ เอฟเวอร์ตัน 1-0 (เยือน)
14-04-08 เสมอ วีแกน 1-1 (เหย้า)
08-04-08 ชนะ เฟเนร์บาห์เช่ 2-0 (เหย้า) ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก
ลิเวอร์พูล
26-04-08 เสมอ เบอร์มิงแฮม 2-2 (เยือน)
22-04-08 เสมอ เชลซี 1-1 (เหย้า) ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก
19-04-08 ชนะ ฟูแล่ม 2-0 (เยือน)
13-04-08 ชนะ แบล็คเบิร์น 3-1 (เหย้า)
08-04-08 ชนะ อาร์เซน่อล 4-2 (เหย้า) ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก
เชลซี จะได้ แฟร้งค์ แลมพาร์ด กลับมาลงสนามอีกครั้ง
สภาพความพร้อมล่าสุด
เชลซี ภายใต้การคุมทีมของกุนซือ อัฟราม แกรนท์ กุมความได้เปรียบเหนือ ลิเวอร์พูล ก่อนลงทำศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบรองชนะเลิศ นัดชี้ชะตา ที่ สแตมฟอร์ด บริดจ์ หลังจากที่นัดแรกขุนพล "สิงห์บลูส์" บุกยื้อผลเสมอที่ แอนฟิลด์ 1-1 จากการตอร์ปิโดบกเข้าประตูตัวเองของ ยอห์น อาร์เน่ รีเซ่ โดยผู้ชนะของคู่นี้จะผ่านเข้าไปพบ แมนฯยูไนเต็ด ที่เฉือนชนะ บาร์เซโลน่า 1-0 เมื่อคืนที่ผ่านมา
ถึงตอนนี้บรรยากาศภายในทีมของ เชลซี กำลังครึกครื้น หลังจากชัยชนะเหนือ แมนฯยูไนเต็ด 2-1 ในเกมลีก เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ทำให้ถึงตอนนี้โอกาสลุ้นดับเบิ้ลแชมป์ของทีมในปีนี้ยังคงเปิดกว้าง ที่สำคัญทีมมหาเศรษฐีแห่งกรุงลอนดอนมีสถิติข่มทีมเยือนชัดเจน เพราะ
ลิเวอร์พูล ยังไม่เคยบุกมายิงประตูที่ สแตมฟอร์ด บริดจ์ ได้เลย นับตั้งแต่ ราฟาเอล เบนิเตซ เข้ารับตำแหน่งที่ แอนฟิลด์ ในปี 2004
ที่สำคัญ เชลซี มีสถิติการเล่นเกมเหย้าสุดแกร่ง ไม่เพลี่ยงพล้ำให้กับคู่แข่งในรายการแข่งขันภายในประเทศนับตั้งแต่เดือน กุมภาพันธ์ 2004 ส่วนความพ่ายแพ้ในเกมยุโรปคาบ้านนั้นต้องย้อนไปเมื่อเกมแพ้ บาร์เซโลน่า 1-2 เมื่อเดือน กุมภาพันธ์ 2004 เลยทีเดียว
ยอห์น อาร์เน่ รีเซ่ จะถูกส่งลงเป็นตัวจริงแทน ฟาบิโอ ออเรลิโอ ที่บาดเจ็บ
ข่าวดีของทางเจ้าบ้านคือเกมนี้จะได้ แฟร้งค์ แลมพาร์ด กองกลางตัวสำคัญ กลับมาสู่ทีม หลังจากที่มิดฟิลด์ทีมชาติอังกฤษพลาดเกมลีกช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา เนื่องจากมารดาเสียชีวิต โดยสื่อผู้ดีระบุว่า แลมพ์ กลับมาลงซ้อมตั้งแต่เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา
คาดว่านัดนี้ แลมพาร์ด จะได้ลงเล่นพร้อมกับ มิชาเอล บัลลัค จอมทัพทีมชาติเยอรมันที่กำลังท๊อปฟอร์ม หลังจากเหมาซัดคนเดียว 2 ประตู ในชัยชนะเหนือ "ปีศาจแดง" ส่วนขุมกำลังที่เหลือถือเป็นชุดใหญ่ทั้งหมด แต่จะมีการปรับแนวรับโดยส่ง มิชาเอล เอสเซียง ถอยมารับบทแบ็กขวาจำเป็น แนวรุกมี โจ โคล, ดิดิเย่ร์ ดร็อกบาและ ซาโลมง กาลู เป็นสามประสานแดนหน้าเช่นเคย
สตีเว่น เจอร์ราร์ด, เจมี่ คาร์ราเกอร์ ถกเข้มกับ "เอล ราฟา" ระหว่างซ้อม
ราฟาเอล เบนิเตซ เทรนเนอร์ชาวสแปนิชของ ลิเวอร์พูล เตรียมเรียกบรรดาแกนหลักที่ได้พักในเกมบุกเจ๊า เบอร์มิงแฮม 2-2 ในเกมลีกนัดล่าสุด กลับมาลงเป็นตัวจริงตามปกติ นำทัพโดย เฟร์นานโด ตอร์เรส ที่ยิงไปแล้ว 30 ประตู จากการลงเล่น 43 เกม ร่วมกับ สตีเว่น เจอร์ราร์ด กัปตันทีมคนเก่งที่กำลังไล่ล่าประตูที่ 21 ในฤดูกาลนี้
ในส่วนของแนวรับนับว่า "เอล ราฟา" มีทางเลือกค่อนข้างจำกัด เนื่องจากจะไม่มี ฟาบิโอ ออเรลิโอ แบ็กซ้ายบราซิเลี่ยนที่เจ็บ
ขาหนีบมาจากเกมนัดแรก ทำให้เกมนี้ ยอห์น อาร์เน่ รีเซ่ ฟูลแบ็กเท้าหนักชาวนอร์วีเจี้ยนจะได้รับโอกาสลงแก้ตัวหลังจากทำพลาดมหันต์ในแมตช์ที่ แอนฟิลด์ มี อัลบาโร่ อาร์เบวลัว ยืนแบ็กขวา คู่เซนเตอร์ฮาล์ฟใช้ เจมี่ คาร์ราเกอร์ คู่กับ มาร์ติน สเคอร์เทล มี ซามี่ ฮูเปีย เป็นตัว
สอดแทรก
รายชื่อนักเตะที่คาดว่าจะลงสนาม
เชลซี
1-ปีเตอร์ เช็ก
5-มิชาเอล เอสเซียง - 6-ริคาร์โด้ คาร์วัลโญ่ - 26-จอห์น เทอร์รี่ - 3-แอชลี่ย์ โคล
4-โคล้ด มาเกเลเล่ - 13-มิชาเอล บัลลัค - 8-แฟร้งค์ แลมพาร์ด
10-โจ โคล - 11-ดีดิเย่ร์ ดร็อกบา - 21-ซาโลมง กาลู
ลิเวอร์พูล
25-เปเป้ เรน่า
17-อัลบาโร่ อาร์เบลัว - 23-เจมี่ คาร์ราเกอร์ - 37-มาร์ติน สเคอร์เทล - 6-ยอห์น อาร์เน่ รีเซ่
18-เดิร์ค เค้าท์ - 20-ฮาเบียร์ มาสเคราโน่ - 14-ชาบี อลอนโซ่ - 8-สตีเว่น เจอร์ราร์ด - 19-ไรอัน บาเบล
9-เฟร์นานโด ตอร์เรส
ผู้ตัดสิน : โรแบร์โต้ โรเซ็ตติ (อิตาลี)
นานาทรรศนะจากทีมงาน "ล้มโต๊ะ"
เชลซี ค่อนข้างได้เปรียบจากผลเสมอ 1-1 ที่ แอนฟิลด์ เมื่อสัปดาห์ก่อนและการกลับมาเล่นในถิ่นทำให้พวกเขากุมความได้เปรียบเหนือ ลิเวอร์พูล ไม่น้อย เพราะที่ผ่านมา เชลซี มีสถิติการเล่นเกมเหย้าสุดแกร่งไม่เสียท่าให้คู่แข่งใน สแตมฟอร์ด บริดจ์ มาถึง 81 นัด หากนับเฉพาะ 10 เกมล่าสุดทีมของ อัฟราม แกรนท์ ชนะ 8 เสมอ 2 ยิงได้ 21 เสียเพียง 5 ที่สำคัญเกมนี้สภาพทีมสุดปึ้ก เมื่อได้ แฟร้งค์ แลมพาร์ด กลับมาบัญชาทัพอีกครั้ง
ผิดกับ ลิเวอร์พูล ที่จำเป็นต้องเปิดหน้าสู้แบบไม่มีทางเลือก เพราะหากเกมจบแบบไร้สกอร์.....หมายถึงพวกเขาตกรอบ ซึ่งดูจากสถานการณ์แล้วบอกได้เลยว่าน่าเป็นห่วง แม้ ราฟาเอล เบนิเตซ จะช่ำชองเกมยุโรปเหนือ แกรนท์ และเกมนี้ขุนพล "เร้ด แมชชีน" พร้อมรบเต็มสูบ เนื่องจากได้พักมาอย่างเต็มที่ในเกมลีกนัดล่าสุด แต่ที่ผ่านมา ลิเวอร์พูล มักจะลงเล่นเกมนัดสองด้วยสถานการณ์ที่ได้เปรียบคู่แข่ง ต่างกับนัดนี้ที่พวกเขาเป็นรองและต้องลงเล่นท่ามกลางแรงกดดันสูง
ที่สำคัญสถิติการมาเยือน สแตมฟอร์ด บริดจ์ ของ "หงส์แดง" ในยุค "เอล ราฟา" นั้นไม่ดีเอาเสียเลย เพราะยังสะกดคำว่า "ชนะ" ไม่เป็น แถมแนวรุกยิงสอยตาข่าย เชลซี ไม่ได้สักลูก.....ถึงบอลคู่นี้ศักยภาพจะสูสีกันมาก แต่เทียบแล้วแนวรุกของ เชลซี นั้นมีตัวชี้ขาดเกมมากกว่า แถมได้เปรียบเรื่องเสียงเชียร์อีก พิจารณาจากเรต ปปลบน้ำ แนะให้กัดฟันต่อเจ้าบ้านไปดีกว่า
: เชลซี เฉือนหืด 1-0
พลพรรค "หงส์แดง" ภายใต้การคุมบังเหียนของ "เอลราฟา" ขึ้นชื่อเรื่องการเล่นบอลถ้วยยุโรป ว่าไม่เป็นรองใคร ทำให้เกมนี้ พวกเขาจะได้เปรียบประสบการณ์ในเกมระดับนี้ มากกว่า เจ้าถิ่น เชลซี ขณะที่ ทีม "สิงห์บูลส์ " ได้เปรียบบานในเรื่องของเสียงเชียร์ รวมถึง สถิติการพบกันที่ผ่านมา ส่วนในเรื่องของศักยภาพ, ขุมกำลัง, สภาพความพร้อม ดูแล้ว เฉือนกันไม่ลง เพราะสูสีกันเหลือเกิน
อย่างไรก็ตาม ด้วยผลการแข่งขันนัดแรกที่ บีบบังคับให้ ลิเวอร์พูล จำเป็นต้องบุก เพื่อทวงประตูคืน และทำให้ทีมรักษาความได้เปรียบจากฏอเวย์โกล์เท่ากับ เชลซี จะทำให้ "หงส์แดง" เดินหน้าเกมรุกเต็มสูบแน่ และแนวรุกของพวกเขาก็น่ากลัวไม่น้อยเช่นกัน แต่ก็อย่าลืมว่า การเล่นแบบนั้น ก็เหมือนเป็นดาบสองคม ที่จะเป็นการเปิดโอกาสให้เชลซี ได้เล่นเกมโต้สวนกลับที่พวกเขาทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ เล่นงานแนวรับของ ลิเวอร์พูล ได้เช่นกัน ดูแล้ว โอกาส ยืดเยื้อถึงขั้น ฏีกา มีสูงทีเดียว ..........รอง ลิเวอร์พูล
: เชลซี เสมอ ลิเวอร์พูล 1-1
ผลการแข่งขันในนัดแรกทำให้ ลิเวอร์พูล จำเป็นต้องมาเปิดเกมบุก ซึ่งไม่ใช่สไตล์ที่พวกเขาถนัดยามที่ต้องเล่นเกมเยือนในถ้วยยุโรป และยิ่ง เชลซี ซึ่งแพ้ยากในบ้านอยู่แล้ว เกมนี้กลับมามีสภาพทีมที่แน่นปึ๊ก ประกอบกับไม่มีความกดดันมากเท่า ก็จะยิ่งทำให้ "หงส์แดง" ลำบากยิ่งขึ้นอีก
จุดอ่อนของลิเวอร์พูลอยู่ที่วิงแบ็ค โดยเฉพาะฝั่งซ้ายซึ่ง ริเซ่ มักจะหลุดตำแหน่งบ่อย ยิ่งการต้องเดินเกมรุกเช่นนี้มีโอกาสเจอความเร็วของ โจ โคล และ ซาโลมง กาลู ทำเกมสวนกลับ เชื่อว่า เชลซี ซึ่งเป็นฝ่ายกุมชะตาของเกมนี้ ไม่น่าจะทำพลาดในรังตัวเอง และคงจะขอแค่ประตูเดียวเพื่อรับประกันการเข้าชิงชนะเลิศ ก่อนจะลงไปเล่นเกมรับจนปิดเกมได้ในที่สุด
: เชลซี 1-0 ลิเวอร์พูล
30 / 04 / 2008 14:06