มาดูต่อ ถึง บทสรุป ของบรรดาลีกหลักทั่วทวีปยุโรป ว่า สโมสรลูกหนังทีมใด จะกลายเป็นจ้าวบังลังก์แชมป์ในถิ่นของตัวเอง และสโมสรใด จะต้องตกอับ จนต้องร่วงหล่นไปเล่นในลีกต่ำชั้นกว่าในฤดูกาลหน้า....
เริ่มกันจาก ลีกที่ปิดฉากกันไปอย่างเป็นทางการสดๆ ร้อนๆ อย่าง พรีเมียร์ชิพ อังกฤษ ที่ต้องขับเคี่ยวลุ้นแชมป์กันถึงนัดสุดท้าย ก่อนที่ จะเป็น "ปีศาจแดง" แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่สามารถคว้าถ้วยพรีเมียร์ประจำฤดูกาล 2007/2008 ได้มาครองได้เป็นสมัยที่ 2 ติดต่อกัน และ ถือเป็นแชมป์ลีกสูงสุดสมัยที่ 17 ของทีมอีกด้วย
ขุนพล "เรดเดวิลส์" คว้าแชมป์พรีเมียร์ชิพ ฤดูกาล 2007/2008 มาครองได้อย่างยิ่ง
ชัยชนะเหนือ "เดอะลาติกส์" วีแกน แอธเลติก 2-0 ที่ สนาม เจเจบี สเตเดี้ยม ไม่ถือว่าเป็นผลการแข่งขันที่เหนือความคาดหมายของสื่อต่างๆ ซักเท่าไรนัก แม้ว่าก่อนเกมนี้จะเริ่มขึ้น จะมีสงครามน้ำลาย ประทุ เพิ่มความกดดันให้แก่ทั้งสองทีมลุ้นแชมป์ อย่าง ยูไนเต็ด และ เชลซี แต่ก็เป็น ลูกทีมของ เซอร์ อเล็กซ์ ที่ยังคงรักษาความนิ่งคว้าชัยได้ตามเป้า ขณะที่ เชลซี เมื่อรู้ว่าชัยชนะเหนือ โบลตัน อาจไม่ช่วยอะไร ก็ปล่อยให้ โบลตัน บุกมาตีเสมอช่วงท้ายเกมเป็น 1-1 เสียเลย ส่งผลให้พวกเขาก็รับบทพระรอง (แชมป์) เป็นสมัยที่ 2 ติดต่อไปโดยปริยาย
ยิ่งไปกว่านั้น ปีนี้ ก็ยังถือเป็นปีทอง ของ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ปีกจอมถล่มประตูของ ยูไนเต็ด ที่ไม่เพียงแต่คว้าแชมป์ลีกร่วมกันต้นสังกัด แต่เขาก็ยังครองตำแหน่งดาวซัลโวสูงสุดประจำปีนี้ไปครองแบบไร้คู่แข่ง ด้วยผลงานซัดไปทั้งสิ้น 31 ประตู แถมก่อนหน้านี้ ดาวเตะชาวโปรตุกีส ก็จัดการซิวรองวัล รางวัลของสมาคมนักเตะอาชีพอังกฤษ และสมาคมนักข่าวฟุตบอลอังกฤษ มาครองแล้วเช่นกัน เรียกได้ว่า กวาดทุกรางวัลบนเกาะอังกฤษ เลยทีเดียว
ปีทองของ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ปีกจอมสับของ แมนฯ ยูไนเต็ด
อย่างไรก็ตาม ทั้ง "ผีแดง" และ "สิงห์บูลส์" ก็ยังได้เกี้ยวก้อยไปเตะ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ รอบแบ่งกลุ่ม โดยอัตโนมัติ ในฤดูกาลเหมือนกัน ขณะที่ อันดับ 3 และ 4 ซึ่งรู้ผลกันไปนานแล้ว อย่าง อาร์เซน่อล และ ลิเวอร์พูล ตามลำดับ ก็จะได้ตั๋วคนละใบ ไปลุย ศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบคัดเลือก แทน ดังนั้น จึงกล่าวได้ว่า โควต้า 4 ที่ สำหรับทีมจากเกาะอังกฤษ ในการไปเล่นบอลถ้วยสูงสุดของยุโรป ก็ยังคงเป็นทีม หน้าเก่าทั้งหมด จากในฤดูกาล 2006/2007
ส่วนทีม "ท๊อฟฟี่สีน้ำเงิน" เอฟเวอร์ตัน ที่อุตส่าห์จะขออัพเกรดระดับของทีมไปเล่นถ้วยที่สูงกว่า ด้วยการ ฮึดทำอันดับ 4 แข่งกับ ทีม "หงส์แดง" แต่สุดท้ายก็ไปไม่รอด ได้เพียงคว้า ตั๋วไปเตะยูฟ่า คัพ เท่านั้น โดยที่ยังจะมี ทีม "ไก่เดือยทอง" สเปอร์ส (แชมป์ คาร์ลิ่ง คัพ) และ แชมป์ เอฟเอ คัพ (พอร์ทสมัธ หรือ คาร์ดิฟฟ์) เกี่ยวแขนไปเตะด้วยอีก 2 ทีม
มาดูในโซนตกชั้นกันบ้าง ถือว่าลุ้นกันจนหยดสุดท้าย และก็กลายเป็น "เจ้าสัวน้อย" ฟูแล่ม ที่เร่งเครื่องสุดชีวิต จนสามารถขึ้นมาอยู่เหนือโซนตกชั้นเพียงอันดับเดียว ได้สำเร็จ หลังจาก บุกไปเอาชนะ พอร์ทสมัธ 0-1 ทำให้ ชัยชนะที่ เร้ดดิ้ง อุตส่าห์ บุกไปอัด ดาร์บี้ ถึง 4-0 ต้องเป็นหมันไปโดยปริยาย เพราะแม้จะมีคะแนนเท่ากัน แต่ขุนพล "เดอะรอยัลส์" ก็ต้องเป็นฝ่ายที่เก็บกระเป๋าไปลีกแชมเปี้ยนส์ชิพ เพราะประตูได้เสียที่แย่กว่านั่นเอง หลังจากที่พวกเขาได้ใช้ชีวิตในลีกสูงสุดเป็นเวลา 2 ปี เช่นเดียวกับ เบอร์มิงแฮม ซิตี้ กับ ดาร์บี้ ก็มีอันต้องกลับไปเล่นฟุตบอลที่บ้านเก่าอีกครั้ง หลัง 2 ทีมน้องใหม่ เพิ่งเลื่อนชั้นมาสัมผัสบรรยากาศของพรีเมียร์ได้เพียงปีเดียวเท่านั้น
พลพรรค "เจ้าสัวน้อย" เร่งเครื่องในช่วงโค้งสุดท้าย จนหนีตกชั้น ได้อย่างสุดปฏิหารย์
ส่วนทีมที่จะได้เฮเลื่อนชั้นขึ้นมาแทนที่ ในฤดูกาลหน้า ก็จะเป็นทีมขาประจำอย่าง เวสต์บรอมวิชฯ ที่ขึ้นมาแบบมีมงกุฎแชมป์ติดมาด้วย ส่วนอีกทีมก็เป็นทีมหน้าใหม่ อย่าง สโต๊ก ซิตี้ ที่ห่างหายจากลีกสูงสุดยาวนานมาถึง 23 ปี อย่างไรก็ตาม อีก 1 พื้นที่ในการเลื่อนชั้นนั้น ยังต้องทำการเล่นเพลย์ออฟกันอีก โดยมี ทีมที่เข้าชิงชัยอยู่ทั้งสิ้น 4 ทีม ได้แก่ ฮัลล์ ซิตี้, บริสตอล ซิตี้, คริสตัล พาเลซ และ วัตฟอร์ด ซึ่งจบฤดูกาลนี้ ด้วยอันดับ 3, 4, 5 และ 6 ตามลำดับ
ทางส่วนของ ลีกเมืองเบียร์ อย่าง ศึกบุนเดสลีกา เยอรมัน ก็ได้เห็นหน้าตาของแชมเปี้ยนส์กันไปเรียบร้อย แม้เกมการแข่งขันจะยังไม่เป็นฉากอย่างเป็นทางการก็ตาม โดยเป็น ทีม "เสือใต้" บาเยิร์น มิวนิค ที่กลับมาประกาศศักดาความยิ่งใหญ่ในวงการลูกหนังเมืองเบียร์อีกครั้ง หลังจากที่ เมื่อฤดูกาลที่แล้ว ล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง กับดีกรียอดทีมอย่างพวกเขา
แข้ง "เสือใต้" กลับมาทวงความยิ่งใหญ่อีกครั้ง ด้วยการคว้าดับเบิ้ลแชมป์ลีกเมืองเบียร์ในฤดูกาล
แถมฤดูกาลนี้ ยักษ์ใหญ่แห่งแคว้นบาวาเรีย ก็ยังกลับมาแบบขอทบต้นทบดอก ด้วยการซิวดับเบิ้ลแชมป์ให้หายอยาก ทั้งจากการ คว้าแชมป์บอลถ้วย เดเอฟเบ โพคาล ไปนอนกอดแล้ว ก่อนหน้านี้ ก่อนที่จะมาตบท้ายซิวถ้วยแชมป์ลีก สมัยที่ 21 ของพวกเขาได้อย่างชิลชิล ในเกมที่บุก เสมอกับ ฮันโนเวอร์ 0-0 เมื่อวันที่ 4 พ.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งส่งผลให้พวกเขาทำแต้มทิ้งห่างทีมอันดับ 2 อย่าง "เจ้านกนางนวล" แวร์เดอร์ เบรเมน แบบขาดลอย 10 คะแนน จากโปรแกรมการแข่งขันที่เหลือแต้มให้เก็บเพียง 9 คะแนน จาก 3 เกมเท่านั้น
จากการคว้าถ้วยแชมป์ทั้ง 2 ใบมาครองได้สำเร็จในฤดูกาลนี้ น่าจะพอทำให้แฟนบอลทีม "เสือใต้" หายเศร้าโศกจากความผิดหวังที่ทีมรักต้องกระเด็นตกรอบในเกมยูฟ่า คัพ รอบรองชนะเลิศ ได้ไม่มากก็น้อย แต่ที่แน่ๆ บาเยิร์น มิวนิค จะได้กลับเข้าสู่วงการลูกหนังยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบแบ่งกลุ่ม อีกครั้ง โดยอัตโนมัติ หลังจากห่างหายมา 1 ปีเต็ม
แม้แชมป์จะเคลียร์ไปแล้ว แต่อันดับ 2 ยังต้องแย่งกันระหว่าง เบรเมน กับ ชาลเก้ 04
ขณะที่ ทีมอันดับ 2 ซึ่งจะได้ตั๋วไปเตะ แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบแบ่งกลุ่ม โดยอัตโนมัติอีก 1 ทีม ยังคงเป็นการแย่งชิงกันอย่างสนุกสูสี ระหว่าง ทีม "เจ้านกนางนวล" กับ "ราชันชันสีน้ำเงิน" ชาลเก้ 04 ซึ่งกำลังรั้งอยู่อันดับ 2 และ อันดับ 3 ตามลำดับ โดยทั้งสองทีม มีแต้มทิ้งห่างกันเพียง 2 คะแนนเท่านั้น ทำให้บทสรุป อาจต้องยืดเยื้อไปจนถึงเกมนัดสุดท้ายของซีซั่น เลยก็เป็นได้ ซึ่งหากทีมใดได้อันดับ 3 ก็จะได้สิทธิ์ไปเตะ แชมเปี้ยนส์ลีก ในรอบคัดเลือก เท่านั้น
สำหรับการแย่งชิงสิทธิ์ไปลุยบอลยุโรปถ้วยเล็กลงมาน้อย อย่าง ยูฟ่า คัพ ก็ยังมีการขับเคี่ยวกันอย่างสนุกไม่แพ้กัน เพราะมีทีมที่กำลังลุ้นอยู่หลายทีมไม่น้อย ได้แก่ เลเวอร์คูเซ่น, ฮัมบูร์ก, โวล์ฟบวร์ก และ สตุ๊ดการ์ท ซึ่งกำลังรั้งอยู่อันดับ 4, 5, 6 และ 7 ของตาราง ตามลำดับ โดยที่ ทั้งหมดมีแต้มเท่ากันเสียด้วยสิ อย่างไรก็ดี เฉพาะทีมอันดับ 4 และ 5 เท่านั้น ที่จะได้ตั๋วไปเล่น ฟุตบอลยูฟ่า คัพ โดยอัตโนมัติ
มาดูในส่วนทีมตกชั้น ซึ่งมีโควตาอยู่ 3 ทีมนั้น ก็ยังคงลุ้นกันอย่างสนุก ไม่แพ้กัน เพราะคะแนนไม่ได้ทิ้งห่ายกันเลย โดยทีมที่กำลังอยู่ในพื้นที่สีแดงนั้นได้แก่ อาร์มีเนีย บีเลเฟลด์, เนิร์นแบร์ก, ดุ๊ยส์บวร์ก และ ฮันซ่า รอสต๊อค ซึ่งกับอีก 6 คะแนนที่เหลืออยู่จาก 2 เกม หากทีมไหนพลาดพลั้งก่อน นั่นก็หมายถึง หายนะที่ต้องตกไปเล่นในลีกา สอง อย่างไม่ต้องสงสัย
ด้านทีมที่จะได้โอกาสเลื่อนชั้นขึ้นมาสอดแทรกแทนกับ 3 พื้นที่ที่ว่างลง ก็น่าจะนำทีมโดย โบรุสเซีย มุนเช่นกลัดบัค ที่ดูจะค่อยข้างแบเบอร์ หลังกำลังรั้งอยู่ในตำแหน่งจ่าฝูงของตาราง ลีกา สอง และอาจปิดฉากฤดูกาลนี้ ในฐานะแชมป์ ก็ได้ เพราะทำคะแนนทิ้งห่างทีมอันดับ 2 อย่าง โคโลญจน์ อยู่ 3 แต้ม กับอีก 1 เกมที่เหลืออยู่เท่านั้น ขณะที่ผลประตูได้เสียก็ดีกว่าเยอะ อย่างไรก็ตาม ทั้งสองทีมน่าจะเป็นว่าที่ทีมน้องใหม่ในบุนเดสลีกาแน่นอน แต่ในการช่วงชิงพื้นที่อีก 1 ที่นั่งนั้น ก็ยังดุเดือดอยู่ไม่น้อย เพราะยังมี ทั้ง โฮเฟ่นไฮม์, ไมนซ์ 05 และ ไฟร์บวร์ก ที่กำลังเบียดลุ้นกันอย่างเต็มที่ชนิดไม่มีใครยอมใครกันเลยทีเดียว
ส่วนตำแหน่งดาวซัลโวประจำลีกบุนเดสลีกา ฤดูกาลนี้ นั้น แม้โอกาสน่าจะตกเป็นของ ลูก้า โทนี่ ศูนย์หน้าจอมถล่มประตูชาวอิตาเลี่ยนของ ทีมแชมป์ อย่าง บาเยิร์น มิวนิค ที่ซัดไปแล้ว 21 ประตู แต่กองหน้าที่ยังพอมีลุ้นแม้จะมีโอกาสเล็กน้อยๆ ก็ตาม อย่าง มาริโอ โกเมซ หัวหอกทีมชาติเยอรมันของ สตุ๊ตการ์ท ก็ยังพอเดินหน้ากระทุ้งประตูไล่ตาม โทนี่ ได้เหมือนกัน จากอีก 1 เกมที่เหลืออยู่ โดย โกเมซ นั้น ทำประตูในลีกให้ต้นสังกัดไปแล้วทั้งสิ้น 18 ประตูด้วยกัน
ลูก้า โทนี่ ศูนย์หน้าจอมถล่มประตูชาวอิตาเลี่ยนของทีม บาเยิร์น มิวนิค น่าจะซิว รางวัลดาวซัลโวไปครอง
บินต่อไปดูกันต่อที่ลีกแดนกระทิงดุ สเปน ถ้วยแชมป์ ก็ยังคงอยู่กับทีมดังแห่งเมืองหลวง อีก 1 ปี เมื่อ "ราชันชุดขาว" เรอัล มาดริด จัดการคว้าแชมป์ลา ลีกา สเปน ได้เป็นสมัยที่ 2 ติดต่อกัน และยังถือเป็นแชมป์ลีก สูงสุด สมัยที่ 31 ของสโมสร ซึ่งถือว่ามากที่สุดในประวัติศาสตร์ของลูกหนังแดนกระทิงอีกด้วย
ทีม เรอัล มาดริด ประกาศศักดาป้องกันแชมป์ลีกแดนกระทิงดุ ได้อีกครั้ง และยังเป็นสมัยที่ 31 อีกด้วย
แม้จะมีช่วงฟอร์มเป๋ออกทะเลไปบ้าง แต่ทว่า พวกเขาก็ยังคงทำผลงานประคับประคองต่อไปจนถึงเป้าหมาย เพราะหลังจากชัยชนะ 2-1ในเกมที่บุกไปเยือนโอซาซูน่า เมื่อวันที่ 4 พ.ค.ที่ผ่านมา ก็ได้เป็นนัดที่ตัดสินชะตาแชมป์ของทีมไปในทันที เนื่องจาก 3 คะแนน ดังกล่าว ทำให้ "ราชันชุดขาว" มี 78 คะแนน และมีแต้มทิ้งห่างทีมอันดับ 2 อย่าง ทีม "เรือดำน้ำสีเหลือง" บียาร์เรอัล อยู่ถึง 10 คะแนน โดยที่มีอีกเพียง 9 คะแนนให้ตามเก็บเท่านั้น ใน 3 เกมที่เหลืออยู่ในฤดูกาลนี้
ดังนั้น ในฐานะแชมป์ลีก จะทำให้ เรอัล มาดริด ได้สิทธิ์ไปเตะฟุตบอลยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบแบ่งกลุ่ม โดยอัตโมัติ อีกครั้ง ส่วน อันดับ 2 ซึ่งจะได้ตั๋วไปเล่น แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบแบ่งกลุ่ม แบบอัตโนมัติ อีกที ก็จะตกเป็นของ บียาร์เรอัล ขณะที่ อันดับ 3 และ 4 ซึ่งจะได้โอกาสไปเล่น บอลถ้วยสูงสุด ในรอบคัดเลือก แทนนั้น ก็น่าจะเป็นทีม บาร์เซโลน่า กับ แอตเลติโก มาดริด ตามลำดับ โดยมี เซบีญ่า กำลังเร่งโกยคะแนน เบียดสอดแทรกอยู่ไม่ห่าง แต่โอกาสจะริบหรี่ก็ตามที
บียาร์เรอัล ก็ทำผลงานได้เยี่ยม จนคว้าอันดับ 2 มาครอง ปาดหน้าทีมแกร่ง บาร์เซโลน่า ได้สำเร็จ
อย่างไรก็ตาม หาก เซบีย่า ไปไม่ถึงเป้า พวกเขาก็จะได้ไป เตะบอล ยูฟ่า คัพ แบบอัตโนมัติ แทน เช่นเดียวกับ แชมป์ โกปา เดล เรย์ ซึ่งปีนี้ ได้แก่ บาเลนเซีย ก็จะได้สิทธิ์เข้าทำการแข่งขันเช่นเดียวกัน ขณะที่ พื้นที่ว่างอีก 1 ที่นั่งนั้น ยังต้องลุ้นกันอย่างสนุก ระหว่าง ราซิ่ง ซานตาเดร์ ทีมอันดับ 6 และ เรอัล มายอร์ก้า ทีมอันดับ 7 ซึ่งมีแต้มห่างกันเพียง 1 คะแนน เท่านั้น จึงทำให้ต้องไปลุ้นกันในนัดสุดท้ายอีกครั้ง
เหลียวมองมาที่การดิ้นร้นหนีตกชั้นในลีก ซึ่งจะต้องมีผู้โชคร้าย 3 ทีมหล่นร่วงลงไปนั่น ก็เป็น เลบันเต้ ที่เป็นทีมแรกที่ต้องเก็บกระเป๋าไปเตะ ลีก เซกุนด้า ก่อนใครเพื่อน เพราะจมอยู่ท้ายตารางแบบเหนียวแน่ ตั้งแต่ช่วงหลังปีใหม่เป็นต้นมา รวมไปถึง เรอัล มูร์เซีย ทีมน้องใหม่ ในฤดูกาลนี้ ก็จำต้องตกไปบ้านเก่าเช่นเดิม หลังขึ้นมาสูดอากาศบริสุทธิ์ในลีกสูงสุดได้เพียงปีเดียว เพราะต้านแรงเสียดทานความเคี่ยวของลีกรุ่นพี่ไม่ไหว
ส่วนอีก 1 ทีมนั้น ยังมีทีมที่เข้าข่ายพื้นที่เดธโซนอยู่ถึง 4 ทีม ไล่ตั้งแต่อันดับ 15 ถึง 18 อันได้แก่ เรอัล บายาโดลิด, โอซาซูน่า, เรเครติอาโบ อูเอลบา และ เรอัล ซาราโกซ่า ตามลำดับ โดยต่างก็มีคะแนนไม่ทิ้งกันนัก และหากใครทำ 3 คะแนนเต็มที่เหลืออยู่ในเกมสุดท้ายของฤดูกาล ก็จะตัดสินชะตาแบบหน้ามือเป็นหลังมือให้กับแต่ละทีมได้อย่างแน่นอน
ด้าน 3 ทีมจาก ลีก เซกุนด้า นั้น ก็น่าจะเป็น นูมานเซีย ที่ได้สิทธิ์เลื่อนขึ้นไป อย่างแน่นอน ในฐานะแชมป์ของตาราง ภายหลังมีคะแนนทิ้งห่างทีมอันดับ 2 และ 3 อย่าง มาลาก้า กับ สปอร์ติ้ง กิฆอน แบบไม่เห็นฝุ่น แม้จะยังเหลืออีก 1 นัดก็ตาม อย่างไรก็ตาม พื้นที่ว่าง อีก 2 ที่นั่ง ก็น่าจะเป็นของสองทีมที่กล่าวข้างต้น
ตำแหน่งดาวซัลโวประจำฤดูกาล 2007/2008 ยังต้องลุ้นกันชนิดมันส์หยด แม้จะมีจอมถล่มประตู 2 ค่าย ที่ส่งเข้าประกวด แต่จำนวนประตูก็ถือว่าคู่คี่สูสีกันทีเดียว โดย ตอนนี้ ยังต้องหยดเครดิตให้ ดาเนี่ยล กีซ่า ดาวยิงฟอร์มฮอตทีมชาติสเปน ของ เรอัล มายอร์ก้า ได้เปรียบรั้งอันดับ 1 จากผลงานยิงไปทั้งสิ้น 25 ประตู ส่วนผู้ท้าชิงอย่าง หลุยส์ ฟาเบียโน่ กองหน้าชาวบราซิเลี่ยน ของ เซบีย่า ก็โกยประตูตามมาติดๆ โดยทำไปทั้งสิ้น 23 ประตู ที่นี้ ก็ต้องมาดูกันว่า อีก 1 เกมที่เหลือ ใครจะเพิ่มจำนวนประตูได้มากกว่า....
ดาวซัลโวประจำลีกลา ลีกา สเปน ยังลุ้นกันมันส์หยด ระหว่าง ดาเนี่ยล กีซ่า ณ มายอร์ก้า (ซ้าย) กับ หลุยส์ ฟาเบียนโน่ ณ เซบีย่า (ขวา)
ลัดฟ้า มาดูในลีกแดนมักกะโรนี อย่าง กัลโช่ เซเรีย อิตาลี หลังจากที่ อินเตอร์ มิลาน ทำได้เพียงเสมอกับ เซียน่า ไป 2-2 ในบ้านตัวเอง เมื่อสัปดาห์ก่อน และ โรม่า ก็บุกเก็บชัยชนะได้อย่างต่อเนื่อง ก็ทำให้ บังลังก์แชมป์ที่ว่าแน่ๆ ของ ทีม "งูใหญ่" ก็ชักจะสั่นสะเทือนไปไม่น้อย เพราะ โรม่า ทำแต้มจ่อคอหอยอยู่เพียง 1 คะแนนเท่านั้น ทำให้ เกมนัดสุดท้าย จึงกลายเป็นนัดตัดสินชะตาแชมป์ เหมือนกับ ลีกเมืองผู้ดีอย่าง พรีเมียร์ชิพ อังกฤษ แต่ก็ไม่รู้ว่า เจ้าของตำแหน่งอันดับ 1 ณ ตอนนี้ อย่าง อินเตอร์ จะไม่พลาด และครองอันดับจ่าฝูงไปจบปิดฉากฤดูกาล เหมือนกว่า ที่ แมนฯ ยูไนเต็ด ทำได้หรือเปล่า ก็ต้องลุ้นกันอีกที.....
อินเตอร์ มิลาน หรือ โรม่า จะคว้าแชมป์ กัลโช่ เซเรียอา ในฤดูกาลนี้?
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าแชมป์จะตกเป็นของใคร แต่ ทั้งสองทีม ก็จะได้สิทธิ์ผ่านเข้าไปเล่นฟุตบอลยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบแบ่งกลุ่มโดยอัตโนมัติ อย่างแน่นอน เพราะทั้งคู่ทำคะแนนทิ้งห่างทีมอันดับ 3 และ 4 ซึ่งจะได้ตั๋วอีก 2 ใบ ไปลุยศึกแชมเปี้ยนส์ ลีก ในรอบคัดเลือก อย่าง ยูเวนตุส และ ฟิออเรนติน่า ชนิดไม่เห็นฝุ่น แต่ในส่วนของทีม "ม่วงมหากาฬ" นั้น ยังคงต้องเบียดกับ เอซี มิลาน ในนัดสุดท้าย อีกครั้ง เพราะคะแนนห่างกันเพียง 2 แต้มเท่านั้น ซึ่งหากใครผ่านก็จะลดชั้นไปเตะแค่ ยูฟ่า คัพ แทน ร่วมกับ ทีมอันดับ 6 ซึ่งยังลุ้นกันระหว่าง ซามพ์โดเรีย กับ อูดิเนเซ่ และ แชมป์ โคปปา อิตาเลีย
เอซี มิลาน สถานการณ์ยังไม่ดี เพราะยังต้องแย่งตั๋วแชมเปี้ยนส์ ลีก ใบสุดท้าย กับ ฟิออเรนติน่า
มาดูทางส่วน ตกชั้น นั้น ยังคงมีทีมเดียวที่จะร่วงไปเล่นในเซเรีย บี อย่างแน่นอน นั่นก็คือ ลิวอร์โน่ ขณะที่ พื้นที่ เดธโซน อีก 2 ที่นั้น ยังคงมี 6 ทีมที่ต้องดิ้นร้นกันในนัดสุดท้าย อันได้แก่ คาตาเนีย, ปาร์ม่า และ เอ็มโปลี ซึ่งตอนนี้ อยู่อันดับ 17, 18 และ 19 ตามลำดับ ขณะที่ทีมจากเซเรีย บี ที่มีลุ้นได้ขึ้นมาแทนที่ก็น่าจะเป็น คิเอโว่ ที่อาจมาในฐานะแชมป์ หลังกำลังรั้งตำแหน่งจ่าฝูงของตารางอยู่ ส่วน เลชเช่, อัลบิโนเลฟเฟ่, และ โบโลญญ่า ทีมอันดับ 2, 3 และ 4 ตามลำดับ ยังต้องลุ้นกันอีกครั้งในนัดสุดท้าย
ทีม (เคย) แกร่งอย่าง ปาร์ม่า ต้องลุ้นหนีตายกับเค้าด้วย
ด้าน ดาวซัลโวประจำลีกแดนมักกะโรนี ก็ลุ้นสนุกไม่แพ้กัน โดยมี อเล็กซานโดร เดล ปิเอโร่ และ ดาวิด เทร์เซเก้ต์ 2 กองหน้าตัวเก๋าของยูเวนตุส เป็นผู้ท้าชิงอยู่ในตอนนี้ หลังทั้งคู่จัดการกระทุ้งตาข่ายในฤดูกาลนี้ไปแล้วทั้งสิ้น 19 ประตู เช่นเดียวกับ อันโตนิโอ บอร์ริเอลโล่ ดาวยิงตัวเก่งของ เจนัว ซึ่งทำผลงานได้อย่างเหนือความคาดหมาย และนัดสุดท้าย เราก็จะรู้ว่าใครจะครองจอมถล่มประตูของลีกกัลโช่ เซเรีย อา ไปครองในปีนี้....
อเล็กซานโดร เดล ปิเอโร่ (ซ้าย) กับ ดาวิด เทรเซเก้ต์ (ขวา) 2 ดาวยิงจากค่าย "ม้าลาย" ชิงตำแหน่งดาวซัลโวกันเอง
ปิดท้ายกันที่ เมืองน้ำหอม ลีกเอิง ฝรั่งเศส ที่เคยว่าจะได้ว่าทีแชมป์แน่ๆ แต่ก็กลับไม่แน่อย่างที่คิดเสียแล้ว เมื่อ โอลิมปิก ลียง ดันไปพลาดหลายต่อหลายเกม ปล่อยให้ ช่องว่างคะแนนที่เคยห่างกับ บอร์กโดซ์ จ่อรดต้นคอเหลืออยู่แค่ 2 แต้มเท่านั้น กับ อีก 1 เกมที่เหลือในนัดสุดท้ายของฤดูกาล
โอลิมปิก ลียง ยังต้องลุ้นแชมป์นัดสุดท้ายกับ บอร์กโดซ์
อย่างไรก็ดี ไม่ว่าใครจะเป็นแชมป์ ทั้ง ลียง กับ บอร์กโดซ์ ก็จะได้สิทธิ์พื้นที่ 2 ที่นั่ง ไปลุยศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบแบ่งกลุ่ม โดยอัตโนมัติ อย่างแน่นอน เพราะทำคะแนน ห่างอันดับ 3 ซึ่งจะได้ไปตั๋วไปเตะบอลถ้วยสูงสุด แค่เพียงในรอบคัดเลือก อย่าง น็องซี่ แบบไม่ต้องลุ้นแล้ว แต่ทว่าในส่วนของ น็องซี่ ก็ยังถือว่าชัวร์ว่าจะจบด้วยอันดับ 3 หรือไม่ เพราะยังมี มาร์กเซย ทีมอันดับ 4 ทำแต้มไล่ตามมาติดๆ เพียง 1 คะแนนเท่านั้น ซึ่งหากใครพลาด ก็จะตกไปเล่นแค่บอลยูฟ่า คัพ เท่านั้น
ด้านทีมตกชั้น คงเป็น เม็ตซ์ ทีมบ๊วย และ สตราส์บวร์ก ทีมอันดับ 19 อย่างแน่นอน ส่วนอีกหนึ่งทีมที่โชคร้ายนั้น ยังคงต้องลุ้นกันระหว่าง ยอดทีมอย่าง เปแอชเช, ตูลูส และ ล็องส์ ซึ่งอยู่ในอันดับ 16, 17 และ 18 ตามลำดับ ขณะทีมที่จะได้เลื่อนชั้นขึ้นมาก็ค่อยข้างไม่มีอะไรให้ลุ้น แล้ว โดยน่าจะเป็น เลอ อาฟร์ ทีมแชมป์ของศึกลีกเดอซ์, น็องต์ ทีมอันดับ 2 และ เกรอน็อบ ทีมอันดับ 3 ที่โกยตามทิ้งห่างคู่ต่อสู้แบบขาดลอย โดยทั้ง 3 ทีมที่ว่านี้ ก็เป็นทีมหน้าเดิมๆ ที่ขึ้นๆ ลงๆ ลีกเอิง เป็นกิจวัตร อยู่ทุกๆ ปีอยู่แล้ว
ขุนพล เปแอชเช ประสบความสำเร็จในบอลถ้วย แต่ในบอลลีกยังต้องดิ้นหนีตกชั้นจนหยดนาทีสุดท้าย
ส่วนตำแหน่ง ดาวซัลโว ก็คงจะเป็นใครไปไม่ได้ นอกจาก คาริม เบนเซม่า ยอดดาวยิงตัวเก่งของ ลียง ซึ่งรั้งตำแหน่งดาวซัลโวอันดับ 1 ของลีกในตอนนี้ โดยที่ซัดไปแล้ว 19 ประตู ขณะที่ มามาดู เนียง กองหน้าผิวหมึกจาก มาร์กเซย ก็ดูจะเป็นคู่ต่อสู้ที่ใกล้เคียงกับ เบนเซม่า ที่สุด โดย เนียง ยิงประตูไปแล้ว 16 ลูก แต่ทว่าก็ยังตามห่าง เบเซม่า อยู่ถึง 3 ประตู เลยทีเดียว กับอีก 1 เกมในนัดสุดท้าย
ดาวซัลโว ประจำลีกเมืองน้ำหอม เห็นจะไม่พ้น คาริม เบนเซม่า หัวหอกดาวรุ่งพุ่งแรงของ ลียง
- จบบริบูรณ์ -