เส้นทางชิงชัยในศึก "ยูโร" กำลังจะเปิดฉากครั้งใหม่ หลังจากที่หนก่อนจบลงด้วยความชื่นมื่นของม้านอกสายตา "กรีซ"
โปรตุเกส : สาธารณรัฐเช็ก : ตุรกี : สวิตเซอร์แลนด์
ทีมชาติโปรตุเกส : อัตราคว้าแชมป์กลุ่ม 1 จ่าย 2.37 : อัตราคว้าแชมป์ยูโร : 1 จ่าย 8.55
สังเวียนแจ้งเกิดของ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ (อีกครั้ง)
ไม่น่าแปลกใจที่บรรดาบริษัทรับพนันส่วนใหญ่จะยกให้ทีมชาติโปรตุเกสเป็นทีมเต็งแชมป์ของกลุ่ม เอ เพราะทัพลูกหนังแดนฝอยทองอุดมไปด้วยผู้เล่นมากความสามารถจากสโมสรชั้นนำของยุโรป อาทิ เดโก้, ริคาร์โด้ คาร์วัลโญ่และที่ขาดไม่ได้เลยก็คือ คริสเตียโน่ โรนัลโด้และ หลุยส์ นานี่ สองตัวรุกดาวรุ่งจากค่าย แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ปีล่าสุด
แม้ หลุยส์ เฟลิเป้ สโคลารี่ จะมีปัญหาที่ยังแก้ไม่ตกนั่นก็คือการขาดศูนย์หน้าตัวเป้าประเภทปิดบัญชี แต่กระนั้นเทรนเนอร์ชาว
บราซิเลี่ยน ยังสามารถพาทีมสร้างผลงานอันยอดเยี่ยมในรอบคัดเลือก ด้วยการคว้าสิทธิ์ผ่านเข้าสู่รอบสุดท้าย ในฐานะรองแชมป์กลุ่ม เอ จากการ ชนะ 7 เสมอ 6 แพ้ 1 จาก 14 แมตช์ โดยฮีโร่ของทีมหนีไม่พ้น โรนัลโด้ ที่รับทุกหน้าที่ ทั้งจ่าย ทั้งยิงและรั้งตำแหน่งดาวซัลโวของทีมที่จำนวน 8 ประตู
สิ่งที่น่าวิตกสำหรับ โปรตุเกส ก็คือ ปัญหาฟอร์มตกของ เดโก้ เพลย์เมคเกอร์ประสบการณ์สูงของสโมสร บาร์เซโลน่า ที่ช่วงฤดูกาลปกติที่ผ่านมาไม่ค่อยได้ลงเล่นให้ต้นสังกัด เพราะถูกอาการบาดเจ็บรุมเร้าอย่างต่อเนื่อง นอกจากนั้นคู่แข่งร่วมสายของพวกเขารู้เป็นอย่างดีว่าตัวอันตรายที่สุดก็คือ โรนัลโด้ ซึ่งหากสตาร์ ยูไนเต็ด ถูกวางแผนจับตายหรือบาดเจ็บก็จะกลายเป็นปัญหาใหญ่ของ โปรตุเกส อย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตามบรรดาผู้สันทัดกรณีลูกหนังส่วนใหญ่ของยุโรปยังมองว่า โปรตุเกส มีศักยภาพและความพร้อมที่ดีที่สุดของกลุ่ม เอ เพราะนอกจากจะมีกุนซือฝีมือฉกาจอย่าง "บิ๊กฟิล" แล้ว ทัพลูกหนังแดนฝอยทองมีจุดแข็งเรื่องทีมเวิร์ค เนื่องจากเล่นด้วยกันมานานและแทบยกชุดมาจากตอนคว้ารองแชมป์ "ยูโร 2004" จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่พวกเขาถูกยกให้เป็นทีม "เต็ง 3" ของการแข่งขันหนนี้
ทีมชาติสาธารณรัฐเช็ก : อัตราคว้าแชมป์กลุ่ม 1 จ่าย 3.33 : อัตราคว้าแชมป์ยูโร : 1 จ่าย 21
ความเสียหายเมื่อไม่มี โทมัส โรซิคกี้
สาธารณรัฐเช็ก ภายใต้การบัญชาทัพของกุนซือขรัวเฒ่า คาเรล บรู้คเนอร์ มีมาตรฐานการเล่นที่น่ากลัวและกลายเป็นทีมที่มองข้ามไม่ได้เลยในช่วงหลัง เพราะในศึก "ยูโร 2004" พวกเขาได้ฝากผลงานอันยอดเยี่ยมเอาไว้ จากการจบรอบแรกพร้อมตำแหน่งแชมป์กลุ่ม ดี ทั้ง ๆ ที่ก่อนทัวร์นาเมนต์เริ่มขึ้น เช็ก ต้องตกอยู่ในกลุ่ม "กรุ๊ป อ๊อฟ เดธ" ที่ประกอบด้วย เยอรมันและ ฮอลแลนด์
ในการแข่งขันรายการดังกล่าว เช็ก ต้องตกรอบไปอย่างน่าเสียดาย หลังจากถูกทีเด็ดของ กรีซ ในช่วงต่อเวลาพิเศษของเกมรอบตัดเชือก แต่กระนั้นก็นับว่าพวกเขานั้นประสบความสำเร็จเกินคาด โดยตัวแปรสำคัญที่นำมาซึ่งผลงานที่น่าประทับใจนั้นเกิดขึ้นจากการสร้างสรรค์เกมของ โทมัส โรซิคกี้และ พาเวล เนดเวด รวมถึงการปิดสกอร์ที่เฉียบขาดของ มิลาน บารอส
อย่างไรก็ตามครั้งนี้มีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เพราะ เนดเวด นั้นประกาศอำลากทีมชาติไปแล้ว ขณะที่ บารอส กำลังอยู่ในช่วงขาลง เล่นกับ ปอร์ทสมัธ ยังแทบไม่ค่อยได้ลงสนามเลย ที่สำคัญที่สุด โรซิคกี้ เจ็บยาวและไม่มีชื่อในทีมชุดนี้แต่อย่างใด ตัวหลักรายเดียวที่ยังพอฝากความหวังได้ก็คือ แยน โคลเลอร์ ที่ยังคงยิงประตูให้ทีมอย่างต่อเนื่อง แม้วัยจะล่วงเลยเข้าปีที่ 35 แล้วก็ตาม
จากสภาพทีมที่ไม่สมบูรณ์เหมือนเมื่อก่อน ทำให้เวลานี้ บรู้คเนอร์ มีการบ้านชิ้นให้ทำนั่นคือการผสมผสานการเล่นระหว่างเหล่าดาวรุ่งกับพวกนักเตะจอมเก๋าให้เข้ากันโดยเร็ว
สำหรับศึก "ยูโร 2008" นับเป็นการผ่านเข้าสู่รอบสุดท้ายของศึกฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรปของ สาธารณรัฐเช็ก ติดต่อกันเป็นสมัยที่ 4 นับตั้งแต่ทะลุเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศของศึก "ยูโร 1996" ก่อนเสียท่าให้กับ ทีมชาติเยอรมัน ในช่วง โกลเด้น โกล
ด้านความคาดหวังในรายการนี้ เช็ก ถือเป็นทีมที่มีลุ้นระดับกลาง ๆ แม้พวกเขาจะฝากผลงานชิ้นเอกด้วยการบุกเผาเครื่อง เยอรมัน คากรุงมิวนิค 3-0 ในเกมรอบคัดเลือก แต่ทว่าการขาด โรซิคกี้ กอปรกับทีมกำลังอยู่ในยุคผลัดใบ ทำให้ เช็ก ยังเป็นรอง โปรตุเกส อยู่พอสมควรเลยทีเดียว
ทีมชาติตุรกี : อัตราคว้าแชมป์กลุ่ม 1 จ่าย 8.44 : อัตราคว้าแชมป์ยูโร : 1 จ่าย 58
ความท้าทายครั้งใหม่ของ ตุรกี
ความสำเร็จสูงสุดที่กองเชียร์ชาวเติร์กจดจำได้เป็นอย่างดีคือการที่ทีมชาติตุรกี คว้าอันดับ 3 ในศึกฟุตบอลโลก 2002 รอบ
สุดท้าย ที่ เกาหลีใต้ กับ ญี่ปุ่น จับมือกันรับหน้าเสื่อเป็นเจ้าภาพร่วมและขุนพลทีมชาติชุดนั้นยังคงถูกยกให้เป็นฮีโร่แห่งวงการลูกหนังแดน
ไก่งวงมาจนถึงปัจจุบัน เพราะต่างมีส่วนทำให้ฟุตบอลตุรกีแจ้งเกิดบนระดับโลกอย่างเต็มตัว
แต่เรื่องราวที่โปรยด้วยกลีบกุหลาบของ ตุรกี ก็สิ้นสุดลงเท่านั้น เพราะอีกราว 2 ปีให้หลัง พวกเขาไม่อาจรักษามาตรฐานการเล่นอันยอดเยี่ยมไว้ได้ ก่อนที่ฟุตบอลเติร์กเข้าสู่ช่วงขาลงภายหลังตกรอบคัดเลือก ศึกเวิลด์ คัพ 2006 แถมผู้เล่นยังก่อเหตุฉาวฟาดปากกับ
นักเตะสวิตเซอร์แลนด์ ในรอบเพลย์-ออฟ จนบรรดาแข้งโหดของทีมถูกแบนยาวหลายราย
หลังผ่านพ้นเรื่องราวเลวร้าย ฟาติห์ เตริม เฮดโค้ชของทีม ตั้งหน้าตั้งตาทำงานเพื่อวางรากฐานของทีมใหม่และท้ายที่สุดก็เห็นผล เมื่อกองทัพเติร์ก ตีตั๋วผ่านเข้าร่วมชิงชัยในรอบสุดท้ายของฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรปที่ ออสเตรีย กับ สวิตเซอร์แลนด์ ร่วมกันรับ
หน้าเสื่อเป็นเจ้าภาพสำเร็จ
ชัยชนะเหนือ นอร์เวย์ ที่ ออสโล คือตัวแปรสำคัญต่อการผ่านเข้ารอบของ ตุรกี และหากพวกเขาสามารถรีดฟอร์มสุดยอดได้เหมือนในเกมดังกล่าว เชื่อขนมกินได้เลยว่าในศึก "ยูโร 2008" ความหวังในการผ่านเข้าสู่รอบ น๊อค เอาท์ ไม่ไกลเกินเอื้อมของพวกเขาแน่
ข่าวดีอีกอย่างสำหรับ ตุรกี คือความสมบูรณ์ของขุมกำลัง เพราะระหว่างการเตรียมความพร้อมในช่วงที่ผ่านมานั้นบรรดาผู้เล่นหลักไม่ต้องเผชิญกับปัญหาบาดเจ็บแต่อย่างใด
แม้ตัวคีย์แมนอย่าง เอ็มเร่ เบโลโซกลู ทำผลงานให้กับสโมสรไม่ดีนักในช่วงที่ผ่านมา แต่มิดฟิลด์ นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด ก็ยังเป็นตัวความหวังของทีมเสมอ เพราะเป็นผู้เล่นที่สามารถชี้ขาดเกมได้และการได้ลงเล่นเคียงข้าง ฮามิต อัลตินท็อปกับ ตุนกาย ซานลี่ ที่
โดดเด่นในระดับสโมสร ทำให้แนวรุกของ ตุรกี น่ากลัวไม่น้อยเลย
แต่กระนั้นทีมของ เตริม ยังมีจุดอ่อนตรงการเล่นที่ขาดความคงเส้นคงวาและนั่นเป็นเหตุผลสำคัญว่าทำไมบริษัทรับพนันจึงกล้าจ่ายอัตราคว้าแชมป์รายการนี้ให้พวกเขาแบบเย้ายวนกองเชียร์เติร์กถึง 1 จ่าย 55
ทีมชาติสวิตเซอร์แลนด์ : อัตราคว้าแชมป์กลุ่ม 1 จ่าย 4.78 : อัตราคว้าแชมป์ยูโร : 1 จ่าย 35
ศักดิ์ศรีของการเป็นเจ้าภาพ
หากเทียบกันจากสองชาติเจ้าภาพของศึก "ยูโร 2008" ขุนพลลูกหนังจากแดนนาฬิกาถูกมองว่าน่าจะประสบความสำเร็จมากกว่าเจ้าภาพร่วมอย่าง ออสเตรีย แต่เรื่องที่น่าเป็นห่วงสำหรับทีมชาติสวิตเซอร์แลนด์ ก็คือ ความพร้อมของบรรดาแข้งหลักที่ถูกอาการบาดเจ็บตามเล่นงาน
ทรานควิลโล่ บาร์เน็ตต้า, คริสโตฟห์ สปีเชอร์และ ฟิลิปป์ เดเก้น สามแข้งแกนหลักของทีมต่างพลาดเกมอุ่นเครื่องที่ สวิส ทุบเอาชนะ สโลวาเกีย 2-0 เมื่อวันที่ 24 พ.ค.ที่ผ่านมา แม้ผลการแข่งขันจะออกมาในทางบวก แต่ทว่าการขาด 3 นักเตะสำคัญนั้น นอกเหนือจากจะส่งผลกระทบต่อสมดุลย์ทีมโดยตรงแล้ว ยังส่งผลลบทางอ้อมต่อสภาพจิตใจของผู้เล่นในทีมด้วย
ส่วนข่าวดีของทีมคือ การกลับมาของ อเล็กซานเดอร์ ฟราย ศูนย์หน้าจอมเก๋าจากสโมสร โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ที่เรียกฟอร์มเก่งมาได้แบบถูกที่ ถูกเวลา หลังจากที่ต้องรักษาอาการบาดเจ็บมาพักใหญ่ เพราะการมีเขาอยู่บนสนามย่อมทำให้กองเชียร์สวิส คาดหวังได้มากกว่าดาวยิงวัย 19 ปีอย่าง เอเรน เดอร์ดิย็อค แม้ว่าศูนย์หน้าดาวรุ่งเจ้าของความสูง 6 ฟุต 2 นิ้ว จะเปิดตัวกับทีมชุดใหญ่ได้อย่างยอดเยี่ยม ด้วยการยิงประตูทีมชาติอังกฤษที่ เวมบลีย์ ในเกมอุ่นเครื่องได้เมื่อไม่นานมานี้ก็ตาม
ข้อเสียเปรียบของทั้ง สวิตเซอร์แลนด์ รวมถึง ออสเตรีย ก็คือลงลับฝีเท้าน้อยกว่าทีมอื่น เนื่องจากได้สิทธิ์เข้าร่วมรายการนี้ในฐานะเจ้าภาพ แต่หากพลิกปูมหลังต้องบอกว่าแข้งนาฬิกาชุดนี้ประมาทไม่ได้ เพราะอุดมไปด้วยผู้เล่นมากประสบการณ์ แถมมีแนวรับที่แข็งแกร่ง แม้แนวรุกจะขาดตัวสร้างสรรค์เกมที่ดี แต่ดูแล้วทีมของ ยาค็อบ คูห์น ไม่ยอมขายหน้าในบ้านง่าย ๆ อย่างแน่นอน
คำพิพากษาของกลุ่ม เอ :
โปรตุเกส คว้าแชมป์กลุ่ม แม้ "บิ๊กฟิล" ต้องพาลูกทีมลงเล่นท่ามกลางแรงกดดันในฐานะรองแชมป์เก่าและทีมเต็ง 1 ของกลุ่ม แต่เชื่อว่าด้วยศักยภาพอันยอดเยี่ยมบวกกับชั่วโมงบินที่เพิ่มขึ้นของผู้เล่นที่เล่นด้วยกันมานาน ทัพลูกหนังแดนฝอยทองน่าจะซิวแชมป์กลุ่มและผ่านเข้าสู่รอบลึกของรายการนี้ได้สำเร็จ
02 / 06 / 2008 15:36