ทำนาย ศึก "ยูโร 2008" กลุ่ม ดี

ความน่าจะเป็นของศึกฟุตบอล "ยูโร 2008" กลุ่ม ดี

 สเปน :   รัสเซีย :  สวีเดน :  กรีซ

 ทีมชาติสเปน : อัตราคว้าแชมป์กลุ่ม 1 จ่าย 1.90 : อัตราคว้าแชมป์ยูโร : 1 จ่าย 6.90

"สิงห์สนามซ้อม" ตราบาปที่ต้องได้รับการปลดแอก

        หนึ่งในปริศนาที่ยากจะค้นหาคำตอบมากที่สุด ของวงการลูกหนังยุโรป ก็คือว่า เหตุใดชาติที่เต็มไปด้วยผู้เล่นพรสวรรค์สูง อย่าง สเปน ถึงได้ร้างความสำเร็จมายาวนานถึง 4 ทศวรรษ  นับตั้งแต่ปี 1964 ซึ่งพวกเขาคว้าแชมป์ฟุตบอลรายการใหญ่ๆ  ได้เป็นครั้งแรก และครั้งเดียว

        ขุนพล "กระทิงดุ" ได้รับการคาดหมายจากเหล่าบรรดากูรูลูกหนังทั่วสารทิศว่าจะต้องประสบความสำเร็จในศึกฟุตบอลโลก รอบสุดท้าย เมื่อปี 2006 อย่างแน่นอน จากขุมกำลังที่ผสมผสานนักเตะดาวรุ่งและผู้เล่นตัวเก๋าภายในทีม ได้อย่างตัว แต่ในท้ายที่สุด พวกเขาก็ไปไม่ถึงฝั่งฝันอีกครั้ง หลังตกรอบ 16 ทีมสุดท้าย ด้วยน้ำมือของ ฝรั่งเศส

        และก็ไม่รู้ว่าเป็นโชคดีหรือโชคร้าย ของ หลุยส์ อราโกเนส โค้ชวัย 69 ที่ต้องมารับงานปราบเซียนในครั้งนี้ แต่ทว่า  "เดอะ ไวส์ แมน ออฟ เฮอร์ทาเลซ่า" ก็แสดงความเป็นผู้นำได้อย่างกล้าหาญ ด้วยการ หั่นชื่อของ ราอูล กอนซาเลซ ดาวยิงขวัญใจมหาชน จาก เรอัล มาดริด รวมถึง โบยาน เกร์กิซ กองหน้าดาวโรจน์แห่งยุค จาก บาร์ซ่า ในทางกลับกัน เขากลับเรียก เซร์คิโอ การ์เซีย กองหน้า จากทีมตกชั้น อย่าง เรอัล ซาราโกซ่า มาติดโผแบบเซอร์ไพรซ์

        ปกติแล้ว ชาติสเปน มักจะผลิตแชมเปี้ยนส์ ในกีฬาแต่ละประเภทมาประดับวงการอย่างมากมาย อย่างเช่น กอล์ฟ และ เทนนิส ฯลฯ แต่ดูเหมือนกว่า ในเกมฟุตบอล พวกเขากลับไม่เข้าใกล้ความสำเร็จเลยซักนิด  

        ทว่า การที่ พวกเขาสามารถหลีกเลี่ยงอยู่ในกลุ่มเดียวกับทีมระดับ "บิ๊กเนม" ของ ยุโรป ได้ ก็น่าจะเป็นการหยิบยื่น โอกาสให้ สเปน ได้พิสูจน์ตัวเองว่าเป็นของแท้ไม่ใช่ของเทียม แต่ นักวิเคราะห์หลายคน ที่เคยหน้าหงายไปกับการหนุนหลัง สเปน มานับไม่ถ้วนก่อนหน้านี้ ก็คงต้องใช้เวลาคิดทบทวนกันหลายตลบ ก่อนที่จะปักใจเชื่อเช่นนั้นอีกครั้ง

ขาขึ้นของวงการกีฬา แดนหมีขาว

        ปฏิเสธไม่ได้ว่า ในปัจจุบัน รัสเซีย กำลังอยู่ในช่วงกระแสความรุ่งโรจน์ของวงการกีฬา ไม่ว่าจะเป็น การที่ทีมม้ามืดจากแดนหมีขาวอย่าง เซนิต เซนต์ปีเตอร์เบิร์ก ก้าวขึ้นมาคว้าแชมป์ ยูฟ่า คัพ ได้อย่างยิ่งใหญ่

        และไม่กี่วันหลังจาก ทีมฮอคกี้น้ำแข็ง ของพวกเขา ก็สร้างชื่อคว้าแชมป์ในศึก "ไอซ์ ฮอคกี้ เวิลด์ แชมเปี้ยนชิพ" ได้สำเร็จ ด้วยการโค่น แคนาดา เจ้าภาพได้ในรอบชิงชนะเลิศ และยังไม่รวมถึงการครองความเป็นจ้าวในกีฬาเทนนิส มาหลายทศวรรตษ ซึ่งทำให้ รัสเซีย ไม่เคยซักครั้งที่จะขาดนักเทนนิสระดับโลกมาประดับวงการหวดลูกสักหลาด 

        สำหรับเกมลูกหนังแล้ว ลืมไปได้เลย สำหรับภาพลักษณ์ของประเทศที่ตกอยู่ภายใต้ยุคสมัยคอมมิวนิสต์อันล้าหลัง เพราะเหล่าบรรดา นักกีฬารัสเซีย รุ่นใหม่ๆ กำลังสลัดคราบปมด้อยที่ติดตัวมาได้อย่างหมดจด และยืดอกต้อนรับเกมฟุตบอลสมัยใหม่ได้อย่างเต็มภาคภูมิ

        ซึ่งได้พิสูจน์ให้เห็นอย่างชัดเจน ในระหว่างศึกยูโร 2008 รอบคัดเลือก เมื่อครั้งที่ ทีมชาติของพวกเขา เอาชนะ อังกฤษ มาได้ 2-1 ที่ กรุงมอสโก ซึ่งเป็นเกมสำคัญที่มีส่วนพลิกผันทำให้ รัสเซีย ได้สิทธิ์ผ่านเข้ามาเล่น รอบสุดท้าย ที่ประเทศ ออสเตรีย และ สวิตเซอร์แลนด์ ได้สำเร็จ

        กุส ฮิดดิ้ง กุนซือชาวดัตช์ เชื่อมั่นอย่างแรงในตัวของขุมกำลังอายุน้อยของตัวเอง โดยผู้เล่นที่แก่ที่สุดมีอายุเพียงแค่ 30 ปีเท่านั้น อย่างไรก็ตาม การประเดิมสนาม นัดแรก ของ รัสเซีย ในเกมที่พบกับ สเปน ซึ่งถล่มเอาชนะเพื่อนบ้านของพวกเขาอย่าง ยูเครน มาได้ 4-0 ในศึกฟุตบอลโลก รอบสุดท้าย เมื่อปี 2006 จะเป็นบททดสอบสำคัญ ถึงความแข็งแกร่งทางด้านจิตใจของเหล่าขุนพล "ยัง รัสเชี่ยน" ชุดนี้

        หลากหลายเสียงวิพากษ์วิจารณ์ อาจชี้ว่า รัสเซีย ยังขาดซึ่งประสบการณ์ และ ผู้เล่นดาวดังในทีม อย่างไรก็ตาม ทีม "หมีขาว" ก็มีแผงกองหลังที่เหนียวแน่น ซึ่งน่าจะช่วยให้พวกเขาประสบความสำเร็จในกลุ่ม ดี ได้ไม่ยาก แม้ในท้ายที่สุดแล้ว พวกเขาจะไม่แกร่งพอที่จะคว้าแชมป์ได้ก็ตาม

รีเทิร์น ออฟ เดอะ "คิง ลาร์สสัน" 

        หลังจากประกาศหันหลังให้กับ "ไวกิ้ง" เมื่อปี 2006 แต่แล้วในที่สุด ด้วยความเสน่ห์หาในเกมลูกหนัง ก็ทำให้ เฮนริค ลาร์สสัน ตัดสินใจกลับมารับใช้ทีมชาติบ้านเกิดอีกครั้งเป็นคำรบที่ 2 หลังจากเคยอำลาสนามมาแล้วก่อนหน้านี้ ในปี 2004 ซึ่งทำให้ ลาร์ส ลาร์เกอร์บัค โค้ชของทีม ไม่รอช้า ที่จะใส่ชื่อของ ลาร์สสัน ลงในโผชุดลุยศึกยูโร 2008 ทันที ท่ามกลางความประหลาดใจของแฟนบอลและสื่อมวลชนไม่น้อย

        จริงอยู่ ที่ประสบการณ์ลูกหนังอันโชกโชนของ ลาร์สสัน ในวัย 36 ปี จะมีประโยชน์กับ สวีเดน อย่างยิ่งยวด แต่เหนือไปกว่านั้น ก็คือ ลาเกอร์บัค ต้องการนำความสำเร็จของ ลาร์สสัน มาเป็นแรงกระตุ้นให้กับบรรดาขุนพล "ไวกิ้ง" รุ่นใหม่ ได้มีแรงฮึกเหิม เช่นเดียวกับ แข้งรุ่นเดียวกับ ลาร์สสัน อย่าง มาร์คุส อัลบัค ซึ่งตอนนี้ อายุก็ปาเข้าไป 34 ปี แล้ว

        กล่าวได้ว่า การผ่านเข้ามาเล่นฟุตบอลยูโร 2008 รอบสุดท้าย ที่ ออสเตรีย และ สวิตเซอร์แลนด์ ในครั้งนี้ ถือเป็นความสำเร็จครั้งที่ 5 ของวงการลูกหนังสวีเดนที่มีต่อเกมฟุตบอลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดระดับทวีป ยุโรป แต่ทว่า ผลงานที่ดีที่สุดของ สวีเดน กลับทำได้ดีแค่การจอดป้ายในรอบรองชนะเลิศ ของศึก ยูโร 1992 ที่พวกเขาเป็นเจ้าภาพ เพียงครั้งเดียวเท่านั้น

        แม้ว่า สวีเดน จะแสดงให้เห็นถึงพละกำลังที่แข็งแกร่ง ในการต่อกรกับคู่ต่อสู้รายอื่นๆ ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา แต่ ก็มีแนวโน้มสูงว่า พวกเขาอาจทำผลงานไม่เป็นไปตามที่คาดหวังไว้ ในการเข้าสู่รอบลึกๆ ของศึกยูโร 2008 ในครั้งนี้

        อย่างไรก็ตาม พวกเขา ก็ยังพอมีทีเด็ดจาก ซลาตัน อิบราฮิโมวิช ดาวยิงของ อินเตอร์ มิลาน ซึ่งพิสูจน์ได้จากการที่ เขา ลุกจากม้านั่งสำรอง และซัด 2 ประตูให้ต้นสังกัด จนสามารถหยิบยื่นแชมป์ให้ "งูใหญ่" ได้สำเร็จ ในเกมนัดสุดท้ายของฤดูกาล และด้วยฟอร์มการเล่นอันเด็ดดวง บวกกับ สภาพร่างกายที่กลับมาฟิตสมบูรณ์ของเขา ต้องถือเป็นข่าวร้ายสำหรับแนวรับของทุกทีม

         แต่ทั้งนี้ ทั้งนั้น ก็ต้องขึ้นอยู่กับ กองหน้าวัย 26 ปี จะงัดฟอร์มเก่งแบบนี้ออกมาใช้กับ สวีเดน ได้หรือไม่ หาไม่แล้ว ทีมดังแห่งแถบสแกนดิเนเวีย ก็จะกลายเป็นทีมที่ไร้พิษสงไปในบัดดล

 ทีมชาติกรีซ : อัตราคว้าแชมป์กลุ่ม 1 จ่าย : 5.76 อัตราคว้าแชมป์ยูโร : 1 จ่าย 34.15

ความสำเร็จไม่ได้มาจากโชคชะตา

        อ็อตโต้ เรห์ฮาเกล ยังคงนั่งแท่นอยู่ในตำแหน่งกุนซือ กรีซ ต่อไป เพื่อที่จะได้นำทัพ "ดินแดนเทพนิยาย" มาป้องกันแชมป์ ยุโรป ซึ่งพวกเขาเถลิงแชมป์ได้อย่างปฏิหาร์ย์ ในศึกยูโร เมื่อ 4 ปี ที่แล้ว ที่ประเทศ โปรตุเกส

        ดาวเตะกว่าครึ่งหนึ่งในทีมชุดที่ประสบความสำเร็จ ยังคงหลงเหลืออยู่ในทีมชุดนี้ และแม้ว่า กรีซ ไม่สามารถผ่านเข้าไปเล่นศึกฟุตบอลโลก 2006 รอบสุดท้าย ที่ประเทศ เยอรมัน ได้ แต่ในที่สุด พวกเขาก็กลับมาแจ้งเกิดได้อย่างสง่าผ่าเผยอีกครั้ง ด้วยการคว้าตั๋วไปลุยศึก ยูโร 2008 รอบสุดท้าย ได้สำเร็จ ในฐานะแชมป์กลุ่ม ซี จากผลงานชนะถึง 10 นัด จาก 12 เกมในรอบคัดเลือก 

         อย่างไรก็ตาม ผลงานที่น่าประทับในรอบคัดเลือก ของ กรีซ ก็ไม่อาจการันตีถึงความสำเร็จของเขาในศึกยูโร ครั้งนี้ได้ เนื่องจาก สถิติการแข่งขัน 12 ครั้งที่ผ่านมา ไม่มีทีมแชมป์ทีมใด สามารถป้องกันถ้วย "อองรี เดอลานี่ย์” ได้เลย เช่นเดียวกับในเกมลูกหนังอย่างศึก ฟุตบอลโลก ที่ ทีมแชมป์ จะสลับสับเปลี่ยนกันไปตลอด 7 ครั้งหลังสุด

         เรห์ฮาเก้ล อาจกำลังกระหยิ่มยิ้มย่อง ที่ลูกทีม จับสลากมาอยู่ในกลุ่ม ดี ซึ่ง มีคู่ต่อสู้ที่ไม่แข็งแกร่งมากนัก และเมื่อประเมินจากศักยภาพ ก็ล้วนแต่เป็นทีมที่ไม่ยากเกินกว่าที่ กรีซ  จะกรุยทางไปสู่รอบน็อคเอ้าต์ได้สำเร็จแน่นอน แต่นั่นอาจเป็นสถานที่สุดท้าย ที่ ทีมแชมป์เก่าอย่างพวกเขา จะได้สัมผัส บรรยากาศ เกมยูโร 2008 รอบสุดท้าย ในครั้งนี้

คำพิพากษาของกลุ่ม ดี : รัสเซีย และ กรีซ กอดคอกันเข้ารอบ
เดิมพันที่น่าลงทุน : วาง กรีซ เป็นแชมป์ กลุ่ม / ถึงแม้ ศักยาภาพโดยรวมของกรีซ ชุดนี้ จะดูไม่ร้อนแรงเหมือนเมื่อ 4 ปี ที่แล้ว แต่ด้วยประสบการณ์ที่เพิ่มขึ้นน่าจะเป็นข้อได้เปรียบที่ทำให้พวกเขา ถือไพ่เหนือกว่า รัสเซีย ซึ่งยังไม่เจนสังเวียนในระดับนี้มากนัก