1.หนังภาคนี้ว่าด้วยผีและการไต่สวนในศาล
เมื่อหนังภาคนี้เลือกจะหยิบยกเหตุการณ์จริงในประวัติศาสตร์ เมื่อมีวัยรุ่นที่อ้างว่าเขาถูกปีศาจร้ายสั่งให้เขาลงมือ ก่อเหตุฆ่าคนตาย เมื่อเรื่องราวเดินไปถึงชั้นศาลทำให้ทนายอย่างมาร์ติน มิเนลลา ใช้เหตุผลดังกล่าวเพื่อต่อสู้คดี เพราะเชื่อว่าลูกความของตัวเองบริสุทธิ์ ท่ามกลางความสงสัยของประชาชนและคนทั่วไป ทำให้เหตุการณ์นี้เอ็ดและลอร์เรนต้องเข้ามาสืบหาว่า แท้ที่จริงแล้วเป็นการลวงโลกหรือมีความเกี่ยวโยงกับปีศาจร้ายที่อยู่เบื้องหลังทั้งหมด
2.ผู้กำกับคนใหม่
หลังจากที่ The Conjuring ทั้งสองภาคแรกเป็นผลงานการกำกับของเจมส์ วาน แต่ในภาคนี้เขาเลือกที่จะส่งไม้ต่อให้กับไมเคิล ชาเวส ซึ่งมีผลงานการกำกับ The Curse of La Llorona ไปหมาดๆโดยเหตุผลที่วานเลือกไมเคิลมากำกับหนังภาคนี้ เพราะตัวเขามีความหลงใหลในหนังสืบสวนสอบสวนเรื่องดังอย่าง Se7en ของเดวิด ฟินเชอร์ ซึ่งตรงกับสไตล์ของบทในหนังภาค The Devil Made Me Do It ต้องการพอดิบพอดี
The Conjuring ทั้ง 1 และ 2 มีลักษณะของการเป็นหนัง “บ้านผีสิง” หนังภาคที่ 3 จะให้ความรู้สึกกับผู้ชมในทิศทางที่แตกต่างออกไป โดยผู้เขียนบทฯ เดวิด เลสลี่ จอห์นสัน-แม็คโกลดริคได้หันไปหาคดีหนึ่งที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของวอร์เรนเกี่ยวกับฆาตกรสหรัฐฯ รายแรกที่การอ้างว่าถูกผีสิงเป็นที่ยอมรับในทางกฎหมาย
3.หนังภาคนี้เป็นส่วนผสมระหว่างเรื่องจริงและเรื่องแต่ง
อย่างที่เราทราบกันดีว่าเอ็ดและลอร์เรน เป็นตัวละครที่ดัดแปลงมาจากบุคคลที่มีอยู่จริงตามประวัติศาสตร์ แต่เพื่ออรรถรสในหนัง ทีมงานจึงต้องเพิ่มเรื่องตำนานและผีสางต่างๆเข้าไป ตลอดจนความเชื่อมโยงระหว่างอาถรรพ์หลายๆเรื่องในจักรวาล Conjuring จริงต้องมีการแต่งเติมเสริมเรื่องราวให้ใหญ่เกินเบอร์อยู่เสมอ
องค์ประกอบที่เกิดขึ้นในประวัติศาสตร์ถูกนำมาผูกกับเรื่องแต่งใหม่ โดยเฉพาะในองก์ที่ 2 ของหนังภาคนี้ เมื่อตัวละครหลักต้องค้นหาความจริงที่เกี่ยวโยงกับความลึกลับขึ้นมา แต่ถึงอย่างนั้นแล้วทีมเขียนบทก็ยังอ้างอิงข้อมูลที่ได้รับมาจากการสืบค้นจากแฟ้มข้อมูลหลักฐานที่มีอยู่จริงด้วย จากคดีชื่อ Brookfield Demon Murder ว่าด้วย เดวิด แกลตเซล ซึ่งถูกวิญญาณร้ายสิงก่อนที่เอ็ดและลอร์เรนจะถูกเรียกตัวมาช่วยเหลือก่อนที่วิญญาณจะไปสิงอาร์นี่ เชอเยน จอห์นสัน แทน
หลายเดือนผ่านไปความผิดปกติได้เกิดขึ้นกับอาร์นี่ ที่เขาได้สังหารเพื่อนของเขาและเจ้าของบ้านโดยที่อาร์นี่ไม่รู้ตัว หลังจากที่เข้ารับการไต่สวนและต่อสู้คดีในชั้นศาล นี่เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ ที่มีผู้พยายามกล่าวอ้างเรื่องการถูกผีสิงเป็นข้อแก้ต่าง
4.อาการหัวใจวายของเอ็ด วอร์เรน
ตามประวัติศาสตร์จริง เอ็ด วอร์เรนมีอาการเป็นโรคหัวใจ ตลอดจากหนังในภาคแรกและภาคที่ 2 เราจะได้เห็นทั้งเอ็ดและลอร์เรนทะเลาะกันอยู่บ่อยครั้ง นั่นเพราะความห่วงใยของคนสองคนที่เป็นคู่ชีวิต แต่เมื่อเจาะลึกลงไปแล้วเราจะพบว่าลอร์เรนเป็นห่วงสามีตัวเองในทุกครั้งที่มีการไล่ผี เพราะจริงๆแล้วในหนังภาคแรก ตามบันทึกตามประวัติศาสตร์จริง เอ็ด วอร์เรนเคยมีอาการหัวใจวาย ระหว่างทำพิธีไล่ผีเมารีซ เธรีอัลท์ แต่ไม่ได้ถูกใส่เข้าไปในหนัง แต่ในหนังภาคนี้คนดูจะได้เริ่มเห็นอาการของโรคหัวใจของตัวเอกปรากฏบนจอเป็นครั้งแรก
5.พัฒนาการด้านความรักของเอ็ดและลอร์เรน
ภาพยนตร์เรื่อง ‘Conjuring’ แต่ละภาคเป็นความรักที่เกิดขึ้นไปพร้อมกับเรื่องระทึกขวัญเหนือธรรมชาติ ทุกอย่างเกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ระหว่างเอ็ดและลอร์เรน อยู่เสมอ โดยตลอดเวลากว่า 8 ปีที่ผ่านมาสองนักแสดง วีร่า ฟาร์ไมก้า และ แพทริค วิลสัน ได้รับบทเป็นตัวละครดังกล่าวผ่านหนังในจักรวาล Conjuring ทั้ง 3 ภาค ได้แก่ The Conjuring,The Conjuring 2 และ Annabelle Comes Home ความรักที่ทั้งสองมีให้กันได้พัฒนามาโดยตลอด
แน่นอนว่า “ความเป็นมนุษย์” ที่ตัวละครเอ็ดและลอร์เรนพัฒนามาเรื่อยๆตั้งแต่หนังภาคแรกจวบจน The Conjuring: The Devil Made Me Do It พวกเขาสั่งสมทั้งความรักมามากมาย แต่ในขณะเดียวกันพวกเขาก็ยังมีด้านของความอ่อนแอและความเจ็บปวดมากขึ้นด้วยเช่นกัน ซึ่งแง่มุมดังกล่าวจะได้รับการนำเสนอช่วงเวลาในอดีตของสองตัวละครนี้ตั้งแต่ฉากย้อนอดีตไปตั้งแต่ช่วงที่ทั้งสองเป็นวัยรุ่นพบรักกันใหม่ๆ
6.อาร์นี่ จอห์นสัน ฆาตกรหรือชายผู้ถูกผีสิง
ปมหลักของหนังภาคนี้คือการที่ตัวละครอย่างอาร์นี่ จอห์นสัน ชายผู้ถูกผีร้ายเข้าสิง โดยนักแสดงที่ก้าวเข้ามารับบทนี้คือรูอินี่ โอ’คอนเนอร์ นักแสดงชาวไอริช ที่ต้องแบกรับตัวละครที่มีอารมณ์ที่ซับซ้อน ไม่ว่าจะต้องโอบอุ้มความรู้สึกเสียใจ เจ็บปวด โกรธแค้น ทุกอย่างรวมเข้ากับความหวาดกลัว โดยในขณะเดียวกันเขาต้องพยายามนำเสนอความน่าสงสารของตัวละครนี้เพื่อแสดงให้คนดูเห็นว่าเขาถูกผีสิงจริงๆ
ขอบคุณข่าวจาก : sanook.com